ดูด่วน!! เวลาปิดระบบขนส่ง หลังรัฐบาลประกาศเคอร์ฟิว

กรุงเทพฯ 3 เม.ย. – ผู้บริหารรถไฟฟ้าทุกระบบ ทั้ง MRT  BTS  รถไฟฟ้า Airport Rail Link ปิดบริการ 21.30 น. หลังมีเคอร์ฟิว ส่วนรถเมล์ ขสมก.ต้องกลับถึงอู่ 3 ทุ่ม และรถไฟอาจต้องยกเลิกอีก 31 ขบวน ไม่ให้การเดินทางคาบเกี่ยวเวลาเคอร์ฟิว



นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า รฟม.และ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการรถไฟฟ้า MRT พร้อมให้ความร่วมมือกับรัฐบาลอย่างเต็มที่  โดยตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นไป รถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และสายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) จะเปลี่ยนแปลงเวลาให้บริการ ตั้งแต่เวลา 06.00 – 21.30 น.  โดยรถขบวนสุดท้ายจะถึงสถานีปลายทางเวลา 21.30 น. ผู้โดยสารสามารถตรวจสอบตารางการเดินรถและเวลารถไฟฟ้าขบวนสุดท้ายได้จากประกาศภายในสถานี หรือเฟซบุ๊ก MRT Bangkok Metro โมบายแอปพลิเคชั่น Bangkok MRT 


สำหรับอาคารและลานจอดแล้วจรของ รฟม.ทั้งหมด จะเปลี่ยนแปลงเวลาให้บริการเป็นตั้งแต่เวลา 05.00 – 21.30 น. เพื่อให้สอดคล้องกับระยะเวลาให้บริการของรถไฟฟ้า โดยปัจจุบัน รฟม.มีที่จอดรถแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน จำนวน 13 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดแล้วจรที่สถานีลาดพร้าว สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สถานีหลักสอง (2 อาคาร) และลานจอดแล้วจรที่สถานีรัชดาภิเษก สถานีห้วยขวาง สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย (2 ลาน) สถานีพระราม 9 สถานีเพชรบุรี สถานีศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ (2 ลาน) และสถานีสามย่าน ที่จอดรถในแนวสายทางรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วง 4 แห่ง ได้แก่ อาคารจอดแล้วจรที่สถานีคลองบางไผ่ สถานีสามแยกบางใหญ่ สถานีบางรักน้อยท่าอิฐ และสถานีแยกนนทบุรี 1 รวมถึงที่จอดรถแนวสายทางรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง – สมุทรปราการ 1 แห่ง คือ ลานจอดแล้วจรที่สถานีเคหะสมุทรปราการ 

นายสุเทพ พันธุ์เพ็ง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เปิดเผยว่า ประกาศดังกล่าวจะทำให้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ปรับเวลาให้บริการ โดยช่วงเช้าจะให้บริการเวลาเดิม คือ ขบวนแรกเวลา 05 .30 น. และขบวนสุดท้ายจะให้บริการปลายทางทั้งจากสถานีพญาไทและสถานีสุวรรณภูมิในเวลา 21 .30 น. โดยใช้เวลาประมาณ 30 นาทีในการเดินทางกลับที่พัก


นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือผู้ให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส แจ้งว่า ตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (ฉบับที่ 2) บริษัทฯ ขอปรับเวลาการให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อปฏิบัติตามคำประกาศจากทางรัฐบาล ดังนี้ รถไฟฟ้าบีทีเอสจะให้บริการผู้โดยสารทุกสถานี ทั้งสายสุขุมวิท และสายสีลม ถึงเวลา 21.30 น. เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการแจ้งเปลี่ยนแปลง

บริษัทฯ จะดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่ออำนวยความสะดวก เพิ่มความมั่นใจ และปลอดภัยแก่ผู้มาใช้บริการทุกท่าน เราจะร่วมกันจับมือฟันฝ่าวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมกันให้ผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบากของประเทศไทยไปด้วยกัน ทั้งนี้ บริษัทฯ ต้องขออภัยในความไม่สะดวก และขอขอบคุณผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสทุกท่านที่เข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องปรับเปลี่ยนเวลาการเดินรถครั้งนี้

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าปัจจุบันการเปิดให้บริการของรถไฟฟ้าแต่ละระบบก่อนประกาศเคอร์ฟิว ในส่วนรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ให้บริการตั้งแต่ 06.00-24.00 น. เช่นเดียวกับรถไฟฟ้า BTS เปิดให้บริการ 06.00-24.00 น. ส่วนรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ เปิดให้บริการตั้งแต่ 05.30-24.00 น.

ด้านนายสุรชัย เอี่ยมวชิรสกุล ผู้อำนวยการ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือ ขสมก. เปิดเผยว่า หลังจากประกาศเคอร์ฟิวจำเป็นต้องปรับเวลาการเดินรถ โดยช่วงเช้าจะออกรถเวลา 04.00 น. เหมือนเดิม แต่ช่วงเที่ยวขากลับรถเมล์ ขสมก.ทุกคันจำเป็นจะต้องถึงอู่ก่อนเวลา 21.00 น. ทั้งนี้ จะขึ้นอยู่ตามสภาพของการจราจร

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีจำนวนผู้โดยสารใช้บริการเหลือเพียงร้อยละ 40 เท่านั้น ส่วนมาตรการระยะห่างยืนยันว่ายังมีการดำเนินการ แต่ภาพที่ปรากฏบนสื่อสังคมออนไลน์และมีการวิพากษ์วิจารณ์กันนั้น เป็นเพียงแค่ผู้โดยสารบางส่วน ทั้งนี้ ได้กำชับให้พนักงาน ขสมก.เข้มงวดกับมาตรการดังกล่าวแล้ว 

นายวรวุฒิ มาลา รักษาการ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า จากที่มีการประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศห้ามออกจากบ้าน 22.00 น.-04.00 น.นั้น รฟท.จะงดให้บริการเดินรถเส้นทางสายยาวที่จะต้องออกจากสถานีต้นทางทุกสถานีที่มีการเดินรถในช่วงเวลา 13.00 น.เป็นต้นไป เนื่องจากการเดินทางระหว่างทางจะคาบเกี่ยวประกาศห้ามเดินทาง ทำให้เส้นทางบริการเดินรถสายยาว ของ รฟท.มากกว่า 30เส้นทาง ต้องหยุดให้บริการไปโดยปริยาย จากเดิมหยุดให้บริการรถไฟสายยาวไปแล้วกว่า 22 เส้นทาง ส่วนรถไฟสายสั้นนั้น ยังไม่ได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ เส้นทางสายเหนือที่การรถไฟฯ งดเดินขบวนรถตั้งแต่วันที่ 3 เมายน 2563 นั้น มี 7 ขบวน ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพ-เชียงใหม่ ขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถีที่ 9, ขบวนรถด่วนที่ 51, ขบวนรถเร็วที่ 109 ขณะที่ เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพ ขบวนรถด่วนพิเศษอุตราวิถีที่ 10, ขบวนรถด่วนที่ 52 รวมถึงเส้นทางกรุงเทพ-เด่นชัย-กรุงเทพ ขบวนรถเร็วที่ 107 และ 108 ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 2563 จะงดเดินขบวนรถ 1 ขบวน ได้แก่ เส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพ ขบวนรถเร็วที่ 102

ส่วนสายอีสาน ตั้งแต่วันที่ 3 เมษายน 2563 จำนวน 12 ขบวน ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพ-อุบลราชธานี ขบวนรถด่วนที่ 67, ขบวนรถเร็วที่ 139, ขบวนรถเร็วที่ 141, ขบวนรถเร็วที่ 145 ขณะที่ เส้นทางอุบลราชธานี-กรุงเทพ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 22, ขบวนรถด่วนที่ 68, ขบวนรถเร็วที่ 140, ขบวนรถเร็วที่ 142 รวมถึงเส้นทางกรุงเทพ-หนองคายขบวนรถด่วนที่ 77, ขบวนรถเร็วที่ 133 และเส้นทางหนองคาย-กรุงเทพขบวนรถด่วนที่ 78 และขบวนรถเร็วที่ 134 นอกจากนี้ ตั้งแต่วันที่ 4 เม.ย. 2563 จะงดเดินขบวนรถ จำนวน 3 ขบวน ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพ-อุบลราชธานี ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 21, เส้นทางอุบลราชธานี-กรุงเทพ ขบวนรถเร็วที่ 146 และขบวนรถเร็วที่ 136

ขณะที่สายใต้ ตั้งแต่วันที่ 3 เม.ย. 2563 จะงดเดินขบวนรถ จำนวน 8 ขบวน ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพ-สุไหงโก-ลก ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 37, เส้นทางสุไหงโก-ลก-กรุงเทพ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 38, เส้นทางกรุงเทพ-ปาดังเบซาร์ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 45, เส้นทางปาดังเบซาร์-กรุงเทพ ขบวนรถด่วนพิเศษที่ 46, เส้นทางกรุงเทพ-นครศรีธรรมราช ขบวนรถด่วนที่ 85, เส้นทางนครศรีธรรมราช-กรุงเทพ ขบวนรถด่วนที่ 86, เส้นทางกรุงเทพ-กันตัง ขบวนรถเร็วที่ 167 และเส้นทางกันตัง-กรุงเทพ ขบวนรถเร็วที่ 168

สำหรับผู้โดยสารที่ซื้อตั๋วโดยสารแล้ว สามารถติดต่อขอคืนตั๋ว เพื่อรับเงินคืนได้ตามระเบียบของการรถไฟฯ หากต้องการสอบถามข้อมูลการเดินทางรถไฟ สามารถติดต่อเพิ่มเติมที่สายด่วน โทร. 1690.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]