กรมควบคุมโรค24มี.ค..-กรมควบคุมโรค เผยไทยเข้มมาตรการตรวจเอกสารการเดินทางเข้าประเทศในจุดคัดกรองของสนามบินทุกแห่งต่อเนื่อง หากพบว่าเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนจะดำเนินการผลักดันกลับประเทศต้นทาง
นายแพทย์ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการเฝ้าระวัง คัดกรอง และป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ทั้งในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (ท่าอากาศยาน ท่าเรือ และด่านพรมแดนทางบก) ในสถานพยาบาล (ทั้งภาครัฐและเอกชน) และเฝ้าระวังในชุมชน ให้ความรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่ โดยเฉพาะการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยทางท่าอากาศยาน ที่ผู้โดยสารต้องมีเอกสารสำคัญ คือ 1.ก่อนเช็คอินที่สนามบินให้แสดงเอกสารกับสายการบินต้นทาง ดังนี้ 1) กรณีชาวต่างชาติ ให้แสดงใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง โดยระบุว่า “ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการด้วยวิธีค้นหาสารพันธุกรรมของไวรัสแล้วไม่พบเชื้อ COVID-19 และไม่ป่วยช่วง 14 วันก่อนเดินทาง” และหลักฐานการทำประกันสุขภาพที่คุ้มครองการรักษา COVID-19 ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ 2) กรณีชาวไทย ให้แสดงใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง โดยระบุว่า “มีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง” และหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทย ออกให้โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศ และ 2.หลักฐานแสดงที่พักอาศัยในการกักตัว หรือคุมไว้สังเกต เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน เช่น ใบยืนยันการจองที่พัก สำเนาทะเบียนบ้าน และยื่นหลักฐานให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
นายแพทย์ขจรศักดิ์ กล่าวอีกว่า จากมาตรการดังกล่าว มีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและจริงจัง เห็นได้จากรายงานผลการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทย 4 สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่) ข้อมูลเฉพาะวันที่ 22 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้โดยสารทั้งคนไทยและชาวต่างชาติใน 4 สนามบิน รวม 4,533 คน โดยผลการคัดกรองตามเอกสารสำคัญ มีดังนี้ ถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง 73 คน กักกันรอกลับ 6 คน และถูกสั่งกักกัน 15 คน ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นการตรวจคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ หากเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนจะดำเนินการผลักดันกลับประเทศต้นทาง โดยจะมีการดำเนินงานเข้มข้นในจุดคัดกรองของสนามบินทุกแห่งอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ.-สำนักข่าวไทย