กรุงเทพฯ 11 มี.ค.-กกต.ยกคำร้อง “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” ปล่อย “อดิศร” ปราศรัยใส่ร้าย “พปชร.-ประยุทธ์” ชี้แค่วิจารณ์การเมือง ประชดประชัน ยังไม่เข้าข่ายหลอกลวง พร้อมดำเนินคดีแฟนคลับผู้สมัคร ส.ส.เพื่อไทย ชลบุรี ทำผิดสัญญาว่าให้ เพราะชื่นชอบผู้สมัครเป็นการส่วนตัว
วันนี้ ( 11 มี.ค.) เว็บไซต์สำนักงาน กกต.ได้เผยแพร่คำวินิจฉัย กกต. ยกคำร้องในกรณีที่นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เขต 5 เชียงราย พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาในการเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที้ 24 มีนาคม 2562 ว่าให้หัวคะแนนแจกเงินเพื่อจูงใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เลือกตัวเอง และกรณีถูกกล่าวหาว่าพรรคเพื่อไทยจัดเวทีปราศรัยหาเสียงเมื่อ 10 มีนาคม 2562 ที่โรงเรียนชุมชนบ้านศรีดอนชัย อ.เชียงของ และนายอดิศร เพียงเกษ แกนนำพรรคเพื่อไทยได้มีการปราศรัยหาเสียงใส่ร้ายพรรคพลังประชารัฐ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐในขณะนั้น ว่า “วันนี้ดีใจที่ได้มีโอกาสมาพูดจากับพี่น้อง คน ๆ นั้น ผมไม่อยากเอ่ยชื่อ มันเสนียดปากผม ประยุทธ์ จันทร์โอชาครับ คุณปล้นอำนาจประชาชน พี่น้องตายไป 99 ศพ ส.ว.ก็จะตั้งเอง ประยุทธ์ตั้งประวิตร แต่งตั้ง ส.ว.มันจะมีพวกมันทั้งนั้น” โดย กกต.เห็นว่าจากการไต่สวนพยานที่ไปฟังการปราศรัยต่างให้ถ้อยคำว่าการปราศรัยดังกล่าวเป็นการกล่าวพาดพิงการทำงานของรัฐบาลที่ผ่านมาที่มีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ โดยไม่ได้พาดพิงตัวผู้ร้อง ประกอบกับเมื่อพิจารณาถ้อยคำที่ใช้ในการปราศรัยมีลักษณะเป็นการวิพากษ์วิจารณ์เชิงการเมือง ด้วยการใช้คำพูดเชิงเปรียบเปรย ประชดประชันเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นเป็นการหลอกลวง ใส่ร้ายด้วยความเท็จหรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม จึงยังฟังไมได้มีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย
นอกจากนี้ กกต.ยังมีการยกคำร้องกรณีมีเหตุสงสัยว่านายจิรวุฒิ สิงโตทอง ผู้สมัคร ส.ส.เขต 4 ชลบุรี พรรคเพื่อไทย ถูกกล่าวหาว่าขณะจัดเวทีหาปราศรัยหาเสียงที่ลานวัฒนธรรม อ.บ้านบึง เมื่อ 22 มีนาคม 2562 ได้ให้นายศุภรัตน์ ฉัตรทอง เก็บบัตรประชาชนของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง โดยจากการไต่สวนนายศุภรัตน์ ให้ถ้อยคำยืนยันว่า ชักชวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งมาฟังปราศรัยและเก็บบัตรประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งรวม 31 ใบ โดยสัญญาว่าหลังฟังปราศรัยจะเลี้ยงข้าวแต่เป็นการโกหก ขณะที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ถูกเก็บบัตรให้ถ้อยคำว่า นายศุภรัตน์ สัญญาจะเลี้ยงข้าว และให้เงินตอบแทนคนละ 400 บาท จึงฟังได้ว่านายศุภรัตน์กระทำฝ่าฝืนกฎหมาย แต่ไม่ปรากฏพยานหลักฐานว่านายจิรวุฒิรู้เห็น สนับสนุนให้นายศุภรัตน์กระทำการ นายศุภรัตน์ ได้กระทำไปเพราะความชื่นชอบนายจิรวุฒิเป็นการส่วนตัว
อีกทั้งเมื่อทีมงานของนายจิรวุฒิ ได้พบว่านายศุภรัตน์ มีการเก็บบัตรประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่หน้าเวทีปราศรัยได้ แจ้งตำรวจมาควบคุมตัว จึงยังฟังไม่ได้ว่านายจิรวุฒิ รู้เห็น สนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าว จึงให้ยุติเรื่อง แต่ให้ดำเนินคดีอาญากับนายศุภรัตน์ ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 73 วรรคหนึ่ง(1)และ(4) ประกอบมาตรา 158 และมาตรา 159 .-สำนักข่าวไทย