สธ. 8 มี.ค.- สาธารณสุข วอนคนในพื้นที่ใกล้เคียงเขตกักกัน อย่ารังเกียจผีน้อย ยืนยันพื้นที่มีความปลอดภัยไม่มีโอกาสแพร่เชื้อสู่ภายนอก ขณะที่วันนี้ ไม่พบผู้ป่วยรายใหม่ กลับบ้านเพิ่มอีก2 ราย
กระทรวงสาธารณสุข รายงานกรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 ประจำวันที่ 8 มีนาคม 2563 โดยนายแพทย์ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า สถานการณ์ในประเทศไทย ขณะนี้มีผู้ป่วยสะสม 50 คน ยังไม่มีผู้ป่วยเพิ่มรายใหม่( ณ เวลา 12.00น.) สามารถกลับบ้านได้แล้วเพิ่มอีก 2 คน รวมกลับบ้านได้แล้ว 33 คน เสียชีวิต 1 คน แต่ยังมีผู้ป่วยอาการรุนแรงในภาวะวิกฤติ 1 คน อาการยังทรงตัวไม่ดีขึ้นหรือแย่ลง ส่วนสถานการณ์ในประเทศจีน ตัวเลขผู้ติดเชื้อเริ่มชะลอตัวลงจากเดิมมีผู้ป่วยหลักพัน ปัจจุบันเหลือหลักร้อย ที่ต้องจับตามองในส่วนของประเทศที่มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะใน 4 ประเทศหลัก ประเทศจีน เกาหลีใต้ อิหร่าน อิตาลี รวมทั้งประเทศที่ควรหลีกเลี่ยงการเดินทาง ได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และเยอรมนี และประเทศอื่นที่อยู่ในภาวะเสี่ยง ซึ่งนับเป็นแรงกดดันของไทยที่เพิ่มโอกาสความเสี่ยงจะพบผู้ที่เดินทางและติดโรคมาด้วย โดยจะเฝ้าระวังกลุ่มผู้เดินทางจากประเทศเหล่านี้อย่างใกล้ชิด และวางมาตการที่เหมาะสมต่อไป
ขณะที่มาตรการอื่นของภาครัฐ มีความพยายามชะลอการระบาดในประเทศไทย ทั้งการเฝ้าระวังคนไทยที่มีอาชีพที่เสี่ยงติดโรคได้ และพยายามเตรียมสถานพยาบาลให้พร้อมหากเกิดการระบาดในประเทศขึ้น รวมทั้งขอความร่วมมือทุกภาคส่วนต้องช่วยกันลดโอกาสเสี่ยงของการระบาด และติดเชื้อ
อย่างไรก็ตามที่จะต้องทำความเข้าใจกับสังคม ไม่ควรกังวลหรือกลัวโรคโควิด-19 จนนำไปสู่พฤติกรรมการรังเกียจผู้ป่วย ที่ปัจจุบันเริ่มมีพฤติกรรมการพูดจาในโซเชี่ยลมีเดียเช่นนี้รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ควรหันมาช่วยกันว่าใช้วิธีการป้องกันตามขั้นตอนที่กระทรวงสาธารณสุขแนะนำ การดูแลสุขลักษณะของตนเอง ให้มีความเข้าอกเข้าใจ ไว้เนื้อเชื้อใจ จะช่วยให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้
ด้านนายแพทย์สุเทพ เพชรมาก ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 6 กล่าวว่า การกักตัวแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากเกาหลีใต้ รวม 4 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางทั้งหมด 537 คน เป็นแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ 133 คน ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง 6 ราย ส่งรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐเรียบร้อยแล้ว และส่งไปสังเกตอาการที่ฐานทัพเรือสัตหีบเป็นเวลา 14 วัน จำนวน 60 คน เป็นชาย 27 คน หญิง 33 คน ส่วนที่เหลือ 67 คนส่งไปสถานที่รับไว้สังเกตอาการตามภูมิลำเนา ภายใต้การกำกับสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเวลา 14 วันเป็นไปตามมาตรการ ส่วนหนึ่งเพื่อสร้างความมั่นใจว่าทั้งหมดจะได้รับการดูแล ป้องกันเชื้อโควิด-19 ไม่ให้ระบาดในครอบครัว และชุมชนในพื้นที่ต่างๆ
นายแพทย์ธนรักษ์ กล่าวอีกว่า มาตรการดังกล่าวเป็นการลดความเสี่ยงทั้งประเทศเทศไทย และครอบครัวแรงงานไทย ที่โอกาสจะแพร่เชื้อให้เป็นศูนย์ ต่างจากอยู่บ้านเองที่ไม่รู้จะปฏิบัติตัวอย่างไร ซึ่งมาตรการนี้ขอยืนยันกับประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงพื้นที่กักกันว่าโอกาสที่ผู้ป่วยจะแพร่เชื้อแทบไม่มีเลย ขอให้คนไทยที่ไม่อยากให้มีพื้นที่กักกันอยู่ใกล้พื้นที่ ได้เข้าใจและลดการตั้งแง่รังเกียจ เปลี่ยนเป็นความร่วมไม้ร่วมมือ จึงจะผ่านวิกฤตินี้ไปได้
อย่างไรก็ตามหากมองจากจำนวนผู้ป่วยของไทยทั้ง 33 คน มีจำนวนที่ใช้ยาต้านไวรัสจริงๆน้อยมาก แสดงให้เห็นว่าโรคนี้หายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัส เช่นเดียวกับข้อมูลจากต่างประเทศ พบว่าร้อยละ 80-90 ผู้ป่วยหายได้โดยไม่ต้องใช้ยาต้านไวรัสเช่นกัน แต่ด้วยปัจจุบันที่ต้องดูแลผู้ป่วยทั้งหมดด้วยต้องมีการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยแพร่เชื้อที่ไหนอีก ทั้งนี้การเฝ้าระวังยังคงต้องดำเนินการต่อเนื่อง เนื่องจากมีการระบาดไปแล้วกว่า 90 ประเทศ ระบาดเป็นวงกว้างแล้วเกือบ 10 ประเทศ ซึ่งแนวโน้มการแพร่ระบาดจะขยายวงไปจนเกือบครบทุกประเทศ อยู่ที่ว่าแต่ละประเทศจะรับมือได้ดีแค่ไหน การระบาดจึงอยู่ในเกณฑ์สูงต่อไป คาดว่าจะต้องอยู่กับโรคนี้ไปอีก 6-9 เดือน โดยประเทศไทยหวังว่าจะพบผู้ป่วยในอัตราสัปดาห์ละไม่กี่คนต่อไป ซึ่งถือว่าเป็นการควบคุมได้ที่น่าพอใจ
สำหรับการแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ กระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งว่าปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยชนิด Surgical Mask ในประเทศ สามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้วันละ 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน โดยได้จัดสรรให้กับบุคลากรสาธารณสุขในสถานพยาบาล จำนวน 700,000 แสนชิ้นต่อวัน ให้กับ โรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 400,000 ชิ้นต่อวัน โรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 30,000 ชิ้นต่อวัน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย/คณะทันตแพทย์/โรงพยาบาลและคลินิกเอกชน/ โรงพยาบาลสังกัด กทม. 270,000 ชิ้นต่อวัน
นอกจากนี้ยังคงเข้มระบบคัดกรองคนเข้าประเทศทุกช่องทาง ทั้งด่านท่าอากาศยาน ท่าเรือ พรมแดนทางบก และตรวจคนเข้าเมืองอย่างต่อเนื่อง ผลการคัดกรองทุกด่าน เฉพาะวันที่ 7 มีนาคม 2563 คัดกรองไป 140,380 คน โดยผู้เดินทางจากท่าอากาศยานลดลง ผลการคัดกรองสะสมตั้งแต่วันที่ 4 มกราคม ถึง 7 มีนาคม 2563 รวม 4,499,264 คน เป็นผู้อยู่ในข่ายเฝ้าระวัง 4,366 คน .-สำนักข่าวไทย