กรุงเทพฯ 13 ก.พ. – ไออาร์พีซีปรับกลยุทธ์ธุรกิจรับความท้าทายปี 2563 ขยายตลาดในประเทศ – Hedging ลดเสี่ยงส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์
นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือไออาร์พีซี เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ปรับแผนกลยุทธ์การดำเนินงานปี 2563 เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มประสิทธิภาพการทำกำไร โดยการขยายตลาดในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของตลาดโลก เพิ่มการเจาะตลาดสินค้ามูลค่าเพิ่มร่วมกับพันธมิตร และปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงงานผลิต ป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาน้ำมัน (Hedging Management) รวมทั้งลดการพึ่งพาการใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง เพื่อบริหารความเสี่ยงแหล่งวัตถุดิบ
ทั้งนี้ บริษัทฯ คาดการณ์ว่าความต้องการใช้น้ำมันของตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 102.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพิ่มขึ้น 1.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากปีที่แล้ว เนื่องจากโรงกลั่นกลับมาเดินกำลังการผลิตอย่างเต็มที่ เพื่อผลิตน้ำมันตามมาตรฐานน้ำมันเดินเรือใหม่ (IMO 2020) รวมทั้งสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนเริ่มผ่อนคลาย โดยคาดการณ์ราคาเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบปี 2563 อยู่ในช่วง 55 – 65 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
ส่วนภาพรวมตลาดปิโตรเคมี คาดว่าความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปรับตัวดีขึ้นจากการปรับเพิ่มประมาณการการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกปี 2563 ของธนาคารโลก เพิ่มขึ้นเป็น 2.5% ในปี 2563 จาก 2.4% ในปี 2562 และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ส่งผลให้ความต้องการพลาสติกในกลุ่มสินค้าเวชภัณฑ์ และสินค้าบรรจุภัณฑ์เพื่อการขนส่งสูงขึ้น
อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการลดการบริโภคพลาสติกที่ใช้ครั้งเดียว ตลอดจนการเพิ่มขึ้นของกำลังการผลิตใหม่ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงด้วยการวิจัยและพัฒนาร่วมกับลูกค้าอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง รวมถึงการหาพันธมิตรทางการผลิต และการตลาดในกลุ่มผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ เพื่อเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ยานยนต์ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทุ่นลอยน้ำสำหรับโซลาร์เซลล์ และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อพัฒนาแบตเตอรี่
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2562 เริ่มดีขึ้น โดยขาดทุนสุทธิ 513 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2562 ขาดทุนสุทธิ 1,321 ล้านบาท เป็นผลมาจากการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านราคา แม้จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยืดเยื้อเรื่อยมาตั้งแต่กลางปี 2561 และความขัดแย้งระหว่างสหรัฐและอิหร่าน ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายด้านการขนส่งสูงขึ้น ประกอบกับ supply ใหม่จากจีนและมาเลเซีย ทำให้ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ลดลง เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว บริษัทฯ ได้มองหาตลาดใหม่ในกลุ่มประเทศ AEC ที่มีแนวโน้มเศรษฐกิจโตต่อเนื่อง มุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบสนองให้ตรงต่อความต้องการของลูกค้าและสิ่งแวดล้อม หรือ Human Centric ทำให้ลูกค้ามีความพึงพอใจสูงสุด รวมถึงรุกธุรกิจผลิตเม็ดพลาสติกรีไซเคิลซึ่งมีความต้องการสูงมากในแถบยุโรป
นายนพดล กล่าวว่า ปี 2563 สถานการณ์ตลาดโลกมีแนวโน้มที่จะดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นผลจากการเซ็นสัญญาระหว่างสหรัฐและจีน ทำให้สงครามการค้าผ่อนคลายลง ส่วนต่างราคาน้ำมันกำมะถันต่ำ (LSFO) ดีขึ้น และหากแนวโน้มตลาดเป็นไปตามคาด บริษัทฯ ก็สามารถดำเนินการผลิตอย่างเต็มที่โดยเพิ่มขึ้นจาก 200,000 บาร์เรลต่อวัน ในปี 2562 เป็น 215,000 บาร์เรลต่อวันได้
นอกจากนี้ ไออาร์พีซีได้ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับบริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินอล จำกัด และบริษัท ไทย ไปป์ไลน์ เน็ตเวิร์ค จำกัด เพื่อเพิ่มช่องทางขยายตลาดโดยพัฒนาระบบขนส่งน้ำมันทางท่อ จากโรงกลั่นน้ำมันไออาร์พีซีไปสู่ระบบขนส่งน้ำมันทางท่อของ Thappline เพื่อร่วมกันสร้างช่องทางขนส่งผลิตภัณฑ์น้ำมัน High Speed Diesel ตามมาตรฐาน Euro V และน้ำมันเชื้อเพลิงอากาศยาน (Jet A1)
ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลดำเนินงานประจำปี 2562 ในอัตรา 0.10 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินประมาณ 2,043 ล้านบาท จากกำไรสะสมส่วนที่ยังไม่ได้จัดสรร โดยจะเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติในวันที่ 7 เมษายน 2563 ต่อไป.-สำนักข่าวไทย