กทม.2 ก.พ.-ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระหว่างประเทศ ชี้จุดแข็งระบบ “บัตรทอง” ของไทย สามารถสร้างการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วนได้ ยกนิ้วฝีมือหมอ -พยาบาล ทำให้ระบบมั่นคงมา 17 ปี
เมื่อวันที่ 1 ก.พ.63 ที่ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ในการประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลประจำปี พ.ศ.2563 ศ.นพ.ลินคอล์น เชน (Lincoln chen)ประธาน China Medical Board ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพระหว่างประเทศและอดีตศาสตราจารย์ประจำวิทยาลัยสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ให้สัมภาษณ์ว่า จากการเข้าร่วมประชุมนานาชาติรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล (Prince Mahidol Award Conference 2020) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ม.ค.–2 ก.พ. 2563 ทำให้เห็นศักยภาพของไทย ในการดึงผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นองค์กรระหว่างประเทศ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รัฐบาล เอ็นจีโอ มาร่วมกันสะท้อนมุมมองที่มีต่อระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และยกระดับเรื่องนี้ เป็นประเด็นระดับโลก ซึ่งถือว่าเป็นการใช้ “อำนาจอ่อน” หรือ Soft Power เรียงร้อยองคาพยพทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันวาระนี้ ให้เป็นที่พูดถึงทั่วโลกอย่างน่าสนใจ
สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทย ประสบความสำเร็จในการผลักดันวาระนี้ ศ.นพ.ลินคอล์น กล่าวว่า คือการที่ไทยสามารถเริ่มต้นนโยบาย “หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า” หรือ 30 บาทรักษาทุกโรค ขึ้นได้เมื่อ 17 ปีก่อน ตั้งแต่ยังเป็นประเทศรายได้ปานกลาง-ต่ำ โดยเป็นตัวอย่างให้ทั่วโลกเห็นว่าประเทศที่กำลังพัฒนาและไม่ได้ร่ำรวยมากก็สามารถเริ่มต้นนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าแบบเดียวกันนี้ได้ โดยใช้งบประมาณไม่มากนัก และไทยยังเป็นตัวอย่างให้เห็นอีกว่า สามารถใช้งบประมาณได้อย่างคุ้มค่า มีการเพิ่มชุดสิทธิประโยชน์มากขึ้นเรื่อยๆ และยังมีส่วนสำคัญในการช่วยเหลือประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆให้เริ่มต้นระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของตัวเองขึ้น แบบเดียวกับไทย
“ในระดับโลกเมื่อพูดถึงระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าที่ประสบความสำเร็จ คนมักพูดถึง 4 ประเทศ ได้แก่ ประเทศกลุ่มสแกนดิเนเวีย สหราชอาณาจักร ญี่ปุ่นและไทย โดยไทยแม้จะเริ่มต้นช้ากว่าประเทศอื่น ๆแต่สามารถสร้างระบบได้อย่างยั่งยืนและจากที่เดินทางมายังประเทศไทยอย่างสม่ำเสมอในรอบ 30 ปีที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าหลังมีระบบบัตรทอง ระบบสุขภาพของไทย ก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทิ้งห่างประเทศเพื่อนบ้านรอบด้านไปไกล” ศ.นพ.ลินคอล์นกล่าว
ศ.นพ.ลินคอล์น กล่าวอีกว่า จุดแข็งของระบบสุขภาพไทย ได้แก่ การที่ไทย สร้างระบบผลิตแพทย์โดยยึดโยงกับพื้นที่ชนบท โดยกำหนดไว้ชัดเจนให้นักศึกษาแพทย์ที่เรียนจบต้องไปใช้ทุนในต่างจังหวัด 2-3 ปี ทำให้ได้เห็นพื้นที่จริงและเห็นปัญหาของระบบสาธารณสุขจริง ฉะนั้นเมื่อมีนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าเกิดขึ้น เพื่อยกระดับชีวิตคนในพื้นที่ชนบท แพทย์จึงพร้อมจะรับการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้คนในชนบท ได้เข้าถึงบริการสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ระบบการผลิตพยาบาลของไทยภาครัฐก็ค่อนข้างให้ความสำคัญ โดยไทยมีจำนวนพยาบาลสัดส่วนเยอะเป็นลำดับต้นๆ ของภูมิภาค และสามารถกระจายพยาบาลได้ดี
อย่างไรก็ตาม ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในไทยยังคงมีความท้าทายสำคัญหลายเรื่อง ไม่ว่าจะปัญหาผู้สูงอายุ จำนวนผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเห็นว่าไทยจะต้องเตรียมรับมือโดยการฝึกบุคลากรทางการแพทย์ให้พร้อมต่อสู้กับปัญหาเหล่านี้ให้มากขึ้นและลงทุนกับระบบสุขภาพปฐมภูมิโดยยึดชุมชนเป็นฐานในการจัดการปัญหา ซึ่งจากระบบสุขภาพที่แข็งแรง เชื่อว่าไทยจะสามารถผ่านไปได้ด้วยดี
ประธาน China Medical Board กล่าวอีกว่า เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ หรือ Sustainable Development Goals ที่ให้ทุกประเทศสมาชิกสหประชาชาติบรรลุเป้าหมาย มีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ภายในปี 2573 ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้จริง เพราะประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา มีทิศทาง มีนโยบายไปอีกอย่าง คือมุ่งเน้นการเติบโตของภาคเอกชน แทนที่จะสร้างระบบสวัสดิการแบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อให้คนเข้าถึงระบบบริการได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตามถือเป็นโอกาสดี ที่องค์กรสหประชาชาติหยิบยกประเด็นนี้มากำหนดเป็นเป้าหมายเพราะทำให้ทุกองคาพยพ รวมถึงองค์กรระหว่างประเทศอย่างธนาคารโลก องค์การอนามัยโลก กำหนดทิศทางวาระระดับโลกมุ่งไปสู่การดูแลสุขภาพของประชากรทุกคนบนโลกนี้อย่างเท่าเทียมและลดความเหลื่อมล้ำด้านการเข้าถึงบริการ ให้ได้มากที่สุด .-สำนักข่าวไทย