ทำเนียบฯ 14 ม.ค.-กลุ่มนิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ยื่นข้อเรียกร้องรัฐบาลออกมาตรการเชิงรุก 3 ระยะ แก้ไขปัญหา PM 2.5 เสนอให้ออกกฎหมายอากาศสะอาด ลดมลพิษ พร้อมจัดบริการขนส่งสาธารณะราคาถูก ลดการใช้รถส่วนตัว
กลุ่มนิสิตคณะนิเทศศาสตร์ จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางมายื่นข้อเรียกร้องถึงรัฐบาล ผ่านศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ของรัฐบาล โดยมีนายสมพาศ นิลพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือ พร้อมจัดกิจกรรมไล่ฝุ่น#NotMyPM (2.5) ชูป้ายข้อความแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ บริเวณเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ข้างทำเนียบรัฐบาล เพื่อขอให้รัฐบาลมีมาตรการป้องกันเชิงรุกในระยะสั้นและระยะยาว เนื่องจากปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ส่งผลให้เกิดวิกฤติคุณภาพอากาศในกรุงเทพมหานคร จังหวัดเชียงใหม่ และอีกหลายพื้นที่ในประเทศไทย ที่ผ่านมารัฐบาลเคยประกาศให้ปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธุ์ 2562 ผ่านมาเกือบหนึ่งปี ปัญหากลับซ้ำรอยเดิม การตอบสนองของภาครัฐกลับเฉื่อยชา ไม่มีการประกาศ หรือมาตรการเฝ้าระวังอย่างชัดเจน รวมถึงไม่พบการสนับสนุนเร่งด่วนที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ส่งผลให้ประชาชนบางส่วนไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ทันเวลา ดังนั้นกลุ่มนิสิตฯ จึงรวมตัวกันแสดงพลังและเรียกร้องให้ภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2 .5 ใน 3 ด้าน
1.ด้านการรับมือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะเร่งด่วน ขอเรียกร้องให้ภาครัฐกระจายข้อมูลข่าวสารและสร้างความตระหนักรู้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึง เพื่อให้ประชาชน เตรียมพร้อมและรับมือเมื่อเกิดสถานการณ์ฝุ่นละอองอย่างกระทันหัน , หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแจ้งสถานการณ์ฝุ่นละอองผ่าน SMS โทรศัพท์เคลื่อนที่ของประชาชนอย่าง รวดเร็วและทันสถานการณ์ , ระบบขนส่งมวลชน ทั้งรถขนส่งสาธารณะ รถไฟฟ้า แจ้งเตือนสถานการณ์ฝุ่นละอองให้ผู้ใช้บริการรับทราบ ผ่านโทรทัศน์ที่ติดตั้งบนรถโดยสาร , รายงานค่าดัชนีคุณภาพอากาศต้องเป็นการรายงานภายในเวลา 3 ชั่วโมงย้อนหลัง ให้สอดคล้องกับระยะเวลาจริง , ในกรณีที่สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 วิกฤติหนัก ภาครัฐต้องควบคุมให้กิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นพิษทุกชนิดหยุดลงทันที รวมถึงให้โรงเรียน สถานประกอบการ โรงงาน หยุดงานชั่วคราวจนกว่าปัญหาจะทุเลา รวมทั้งมีมาตรกรรองรับผู้เดือดร้อนหากมีการหยุดงานที่อาจส่งผลให้สูญเสียรายได้ , โรงงานอุตสาหกรรมต้องจัดทำบัญชีระบายมลพิษ แจ้งให้ภาครัฐและเปิดเผยต่อภาคประชาชน เพื่อทราบปริมาณควันพิษที่เกิดจากกระบวนการผลิตอันนำไปสู่การป้องกันและดำเนินการทางนโยบายต่อไป
2.ด้านการรับมือปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะสั้น ขอเรียกร้องให้รัฐบาลเพิ่มจุดตรวจ PM 2.5 ให้ทั่วประเทศและมีมาตรฐานเดียวกัน , ภาครัฐต้องสนับสนุนและอุดหนุนราคาหน้ากากอนามัย หรืออุปกรณ์ฟอกอากาศ เพื่อลดภาระของประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากมลพิษ รวมถึงอำนวยความสะดวกประชาชนที่ไม่สามารถเข้าถึงอุปกรณ์เหล่านี้ได้ , หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสนับสนุนการทำวิจัยเพื่อหาสาเหตุของฝุ่น PM 2.5 เนื่องจากจนถึงปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยที่ระบุออกมาชัดเจนว่าสาเหตุที่แท้จริงของฝุ่นพิษเกิดจากอะไร ส่งผลให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาฝุ่นพิษได้อย่างตรงจุด , รัฐบาลดำเนินการทางการทูตในเชิงรุก กรณีปัญหาในระดับภูมิภาคหรือระดับนานาชาติ เช่น กรณีไฟป่าจากประเทศอินโดนีเซีย , รัฐบาลพิจารณาผลกระทบจากโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ที่ขยายพื้นที่อุตสาหกรรมโดยขาดการวางผังเมืองร่วมกับคนในท้องที่ รวมถึงเปิดโอกาสให้นายทุนข้ามชาติตั้งโรงงานอุตสาหกรรม ปล่อยควันพิษที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสุขภาพประชาชนโดยไม่มีการตรวจสอบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาฝุ่น PM 2.5 เรื้อรัง
3.ด้านการรับมือกับค่าฝุ่นละออง PM 2.5 ระยะยาว โดยรัฐบาลควรออกกฎหมายอากาศสะอาด (Clean Air Act) ที่เป็นรูปธรรมและใช้ได้จริง โดยร่วมมือกับ หน่วยงานและองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษที่เกิดขึ้นในประเทศไทยโดยเฉพาะ , ปรับมาตรฐานฝุ่นละออง PM 2.5 ให้ต่ำลง อ้างอิงตามองค์การอนามัยโลก ทั้งมาตรฐานฝุ่นละออง PM 2.5 เฉลี่ย 1 ปี และเฉลี่ย 24 ชั่วโมง รวมถึงเกณฑ์ดัชนีคุณภาพอากาศ (AQI) ด้วย เนื่องจากประเทศไทยกำหนดมาตรฐานที่ยอมรับได้ดังกล่าวสูงกว่าข้อแนะนำขององค์การอนามัยโลกมาก ทำให้รัฐไม่สามารถแก้ปัญหาฝุ่นละอองที่มาจากภาคอุตสาหกรรม หรือภาคอื่น ๆ ได้อย่างจริงจัง และทำให้การแสดงผลค่าฝุ่นละอองในประเทศไทย ผ่าน AQI มีระดับความรุนแรงที่ต่ำลงเมื่อเทียบกับความเป็นจริง , ภาครัฐต้องจัดบริการขนส่งสาธารณะที่ราคาถูกและเข้าถึงได้เพื่อสนับสนุนให้คนใช้บริการขนส่งสารธารณะ ลดการใช้รถส่วนบุคคล , ภาครัฐต้องออกแบบและวางผังเมืองที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และแก้ไขหรือวางผังเมืองใหม่โดยคำนึงถึงการลดปัญหามลพิษทางอากาศ รวมถึงกระจายอำนาจการบริหารจัดการสู่ท้องถิ่น นอกจากกรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มอำนาจประชาชนในการแก้ปัญหา เฉพาะพื้นที่ รวมทั้งลดความแออัดและการกระจุกตัวของประชากร , ภาครัฐต้องควบคุมวิถีการผลิตที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของภาคเอกชนอย่างเคร่งครัด และออกกฎหมายควบคุมการผลิตของภาคเอกชนเพื่อหลีกเลี่ยงการผลักภาระให้ประชาชน , ภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชนต้องจัดตั้งองค์กรดูแลด้านสิ่งแวดล้อมที่มีอำนาจครอบคลุม ทั่วถึงในการดูแลและแก้ไขปัญหาทางสิ่งแวดล้อมทั้งหมด และการปฏิบัติขององค์กรต้องเป็นไปอย่างรวดเร็วและโปร่งใส ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน.-สำนักข่าวไทย