ชาวไร่อ้อยเตรียมเสนอรัฐชะลอแบน 3 สารเคมี

กรุงเทพฯ 11 พ.ย. – สมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลฯ เตรียมยื่นหนังสือรองนายกรัฐมนตรี ชะลอมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายแบน 3 สารเคมีออกไป 3-5 ปี เพื่อให้ชาวไร่อ้อยมีเวลาปรับตัว   


นายกิตติ ชุณหวงศ์ นายกสมาคมนักวิชาการอ้อยและน้ำตาลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากกรณีคณะกรรมกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สารเคมีเกษตร  ประกอบด้วย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 เป็นต้นไป นั้น ทางสมาคมฯ จะมีหนังสือไปยังนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้มีการชะลอมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายออกไป 3-5 ปี เพื่อให้เกษตรกรได้ปรับตัว พัฒนาชาวไร่อ้อย หาเทคโนโลยีใหม่เข้ามาใช้ และมีการหารือกันถึงผลกระทบ เพราะคณะกรรมการวัตถุอันตรายมีมติแบน 3 สารเคมี ไม่ได้มีการพิจารณาถึงผลกระทบ ต้องยอมรับว่า สารทุกอย่างมีพิษทั้งหมดเปรียบกับเหรียญสองด้าน  และขณะนี้ยังไม่ชัดเจนว่าสารทดแทนจะเป็นสารตัวใดบ้าง อย่างไรก็ตาม หากมีมติแบน 3 สารเคมีเกษตร เชื่อว่าจะทำให้ชาวไร่เลิกปลูกอ้อย โดยเฉพาะชาวไร่อ้อยรายเล็กถึงรายกลางที่มีพื้นที่ปลูกอ้อยไม่มาก ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 85 ของเกษตรกรชาวไร่อ้อยทั้งหมด

นายกิตติ กล่าวถึงผลกระทบจากการแบนสารเคมีเกษตรโดยเฉพาะพาราควอตที่อาจจะเกิดขึ้นปี 2563 ทั้งระดับเกษตรกร อุตสาหกรรมแปรรูปที่ใช้วัตถุดิบทางการเกษตร และการส่งออก ว่า จากการคาดการณ์ ผลผลิตจะลดลงร้อยละ 20-50 ถ้าไม่ใช้สารพาราควอตในช่วงอ้อยย่างปล้องจะทำให้อ้อยหายไปถึง 67 ล้านตันต่อปี เกษตรกรสูญเสียรายได้กว่า 50,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ส่วนใบและยอดซึ่งใช้ในโรงไฟฟ้าชีวมวลจะสูญหายไป 11 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่าสูงถึง 7,400 ล้านบาท รวมเกษตรกรสูญเสียทั้งสิ้น 58,000 ล้านบาท 


ส่วนผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ปริมาณน้ำตาลทรายดิบจะหายไปประมาณ 6.7 ล้านตันต่อปี คิดเป็นรายได้ประมาณ 47,000 ล้านบาท รวมทั้งกากน้ำตาลจะหายไป 3.3 ล้านตัน คิดเป็นรายได้ 10,000 ล้านบาท สร้างความเสียหายต่อการผลิตเอทานอลประมาณ 840 ล้านลิตร คิดเป็นรายได้ 18,000  ล้านบาท ขณะเดียวกันกากชานอ้อยวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระแสไฟฟ้าโรงไฟฟ้าชีวมวลจะหายไปไม่ต่ำกว่า 20 ล้านตัน สูญรายได้ประมาณ 16,000 ล้านบาท ทำให้ไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายเข้าสู่ระบบอย่างน้อย 67.4 เมกะวัตต์ เทียบเท่ากับการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังน้ำทั้งปีจาก 2 เขื่อนใหญ่ ได้แก่ เขื่อนอุบลรัตน์และเขื่อนจุฬาภรณ์ หรือเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของจังหวัดแม่ฮ่องสอนอย่างน้อย 6 เดือน คิดเป็นรายได้ที่หายไปอัตรา 2.7 บาทต่อหน่วย ประมาณ 182 ล้านบาท รวมภาคอุตสาหกรรมและที่เกี่ยวเนื่องสูญเสียทั้งสิ้น  92,000 ล้านบาท 

ขณะที่ผลกระทบต่อการส่งออกไปต่างประเทศ อุตสาหกรรมน้ำตาลไทยพึ่งพิงรายได้จากการส่งออก คิดเป็นร้อยละ 75 ของผลผลิตน้ำตาลทั้งหมด ส่วนที่เหลือใช้ในประเทศ ปริมาณส่งออกประมาณ 10-11 ล้านตันต่อปี เหตุที่ไทยแข่งขันในตลาดโลกได้ดี เพราะต้นทุนอ้อยในการผลิตน้ำตาลของไทยอยู่ในระดับที่ไม่สูง มีข้อได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเรื่องระยะทางและต้นทุนขนส่งต่ำกว่า แต่ปัจจุบันเกิดวิกฤติอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล เนื่องจากราคาอ้อยตกต่ำมาก ทำให้ภาครัฐต้องช่วยเหลือชาวไร่อ้อยเรื่องต้นทุนในส่วนของปัจจัยการผลิต ได้แก่ สารกำจัดวัชพืช ปุ๋ย เครื่องจักรตัดอ้อย ซึ่งเป็นแนวทางเดียวที่รัฐจะช่วยได้โดยไม่ขัดกับข้อตกลงองค์กรการค้าโลก (WTO) ที่กำหนดห้ามสนับสนุนเงินช่วยเหลือ แต่วิกฤติเดิมไม่ทันจะแก้ไข รัฐบาลกลับประกาศแบนสารกำจัดวัชพืชพาราควอต ทางออกเดียวที่จะช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรมได้ จึงอยากให้รัฐพิจารณาใหม่อีกครั้ง และต้องเร่งรีบจัดการปัญหาโดยด่วน ไม่เช่นนั้นกระทบฤดูการปลูกต่อไปของอ้อยทันที จึงเร่งรัฐหารือกับภาคอุตสาหกรรมเกษตรที่เกี่ยวข้องทั้งหมด 


นายเลียบ บุญเชื่อง ประธานชมรมสถาบันชาวไร่อ้อยภาคอีสาน กล่าวว่า เกษตรกรต้องการให้ชะลอการแบนออกไปก่อนอย่างน้อย 1-2 ปี เพื่อทดลองสิ่งใหม่ที่จะนำมาใช้ทดแทนและติดตามประเมินผลว่ามีประสิทธิภาพในการปรับวัชพืชแตกต่างจากสารพาราควอต  การใช้พาราควอตที่ผ่านมาเกษตรกรทราบและป้องกันอยู่แล้ว ซึ่งจะส่งผลกระทบกับเกษตรกรชาวไร่อ้อย ทำให้ต้นทุนปรับวัชพืชในไร่อ้อยสูงขึ้น เพราะการใช้แรงงานมีต้นทุนสูงกว่าและแรงงานก็ขาดแคลน นอกจากนี้ ชาวไร่อ้อยยังประสบปัญหาราคาอ้อยตกต่ำ ซึ่งเป็นไปตามสถานการณ์ราคาน้ำตาลตลาดโลกตกต่ำส่งผลต่อราคาอ้อยขายต่ำกว่าต้นทุนการผลิต ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าชาวไร่อ้อยจะเลิกปลูกอ้อยจากปกติเริ่มทยอยปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่นแล้ว ซึ่งปีที่ผ่านมาเลิกปลูกอ้อยไปแล้วมากกว่า 200,000 ไร่ ปีนี้ก็จะเลิกปลูกเพิ่มขึ้นจากปัญหาภัยแล้งที่ทำให้ผลผลิตลดลงจากไร่ละประมาณ 12-15 ตันต่อไร่ เหลือประมาณ 7-8 ตันต่อไร่ อีกทั้งยังประสบภาวะราคาอ้อยตกต่ำ และหากมีการห้ามใช้สารพาราควอตเข้ามาซ้ำเติมอีก ก็จะยิ่งทำให้ต้นทุนปราบวัชพืชเพิ่มขึ้น 

นายรังสิต สุวรรณมรรคา ผู้เชี่ยวชาญด้านวัชพืช ที่ปรึกษาสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศที่ใช้แนวทางปฏิบัติการอนุญาตใช้สารเคมีเกษตรขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ เช่น สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล แอฟริกาใต้ อินเดีย ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นต้น ยังใช้พาราควอตในพืชต่าง ๆ เช่น ข้าว ข้าวโพด อ้อย ชา กาแฟ มั่นฝรั่ง สับปะรด พืชผักผลไม้ พืชตระกูลถั่ว พืชตระกูลเบอร์รี่ โดยผลิตผลทางการเกษตรเหล่านี้นำเข้ามาบริโภคในประเทศไทย ดังนั้น การยกเลิกใช้พาราควอต จึงไม่ใช่ทางออกของภาคเกษตรกรรมและผู้บริโภคไทย 

ส่วนคำกล่าวอ้างด้านสิ่งแวดล้อมและสิ่งทดแทนพาราควอตนั้น ปัจจุบันยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน ทั้งด้านการตกค้างในสิ่งแวดล้อมจนเป็นอันตรายต่อเกษตรกรและสิ่งมีชีวิตในดินและน้ำ หรือสิ่งทดแทนพาราควอต ตามข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตร ล้วนไม่สามารถปฏิบัติจริงได้ในทุกพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งการใช้แรงงานคน การใช้เครื่องจักร ไม่สามารถใช้ในพื้นที่โคนต้น เนิน ดินแฉะ หรือพื้นที่เกษตรที่ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้เครื่องจักร หรือการเสนอสารทดแทน 16 ชนิด พบว่า ทั้งหมดไม่สามารถนำมาเป็นทางเลือกหรือทดแทน พาราควอตได้ เพราะคุณสมบัติของสารแต่ละชนิดมีผลต่อพืชเศรษฐกิจต่างกัน บางชนิดไม่สามารถฆ่าวัชพืชบางชนิดได้ บางชนิดหากใช้เป็นพิษต่อพืชปลูก บางชนิดปนเปื้อนน้ำบาดาลได้ บางชนิดใช้สภาพอากาศฝนตกชุกไม่ได้ 

นายแพทย์สมชัย บวรกิตติ ราชบัณฑิตสำนักวิทยาศาสตร์ ราชบัณฑิตยสภา ยืนยันประเด็นด้านสุขภาพที่เกี่ยวกับพาราควอต สังคมน่าจะมีความเข้าใจเกี่ยวกับโรคเนื้อเน่าเพิ่มมากขึ้นแล้วว่าไม่เกี่ยวข้องกับพาราควอต แต่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย รวมทั้งรายงานผลการตรวจพบพาราควอตในเลือดของหญิงใกล้คลอดและเลือดสายสะดือทารก ขาดข้อมูลที่ชัดเจนถึงการได้รับสารเคมีเกษตรกรและความผิดปกติ สอดคล้องกับรายงานทางการแพทย์จากอดีตถึงปัจจุบันยังไม่พบการเกิดพิษจากพาราควอตในกลุ่มผู้ใช้เลย นอกจากนำไปดื่มกินเพื่อฆ่าตัวตาย ที่สำคัญมีรายงานล่าสุดจากสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐอเมริกา หรือ US EPA ระบุว่า “พาราควอต” ไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งในมนุษย์ ไม่มีความเชื่อมโยงกับโรคพาร์กินสัน รวมทั้งข้อมูลที่กล่าวอ้างเรื่องการปนเปื้อน การตกค้างของพาราควอตไม่ชัดเจน ไม่มีนัยสำคัญทางพิษวิทยา อย่างไรก็ตาม การอบรมให้ความรู้และการปฏิบัติตนที่ถูกต้องในการใช้สารเคมีเกษตรของผู้ซื้อและใช้ เป็นสิ่งที่ดีและภาครัฐควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะสารเคมีเกษตรจำเป็นต่อกสิกรรมของไทย.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ผู้ว่าฯ สงขลา จัดคิวนายอำเภอรับ-ส่ง “เดชอิศม์” ทุกสัปดาห์

กทม. 18 ส.ค.-ผู้ว่าฯ สงขลา ทำหนังสือด่วน จัดคิวนายอำเภอ เวียนต้อนรับ-ส่ง “เดชอิศม์” สนามบินหาดใหญ่ ทุกสัปดาห์ นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ทำหนังสือด่วนที่สุด ที่ สข 0017.3/17839 เรื่อง ขอความอนุเคราะห์อำนวยความสะดวก นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เรียน นายอำเภอเมืองสงขลา ด้วยจังหวัดสงขลาได้รับแจ้งว่า นายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย มีกำหนดเดินทางมาราชการในพื้นที่จังหวัดสงขลา เพื่อตรวจราชการสำคัญตามนโยบายรัฐบาล และมีกำหนดเดินทางกลับไปปฏิบัติราชการ ณ กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 18 สิงหาคม 2568 โดยสายการบินแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD 3103 เวลา 08.25-09.50 น. เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จังหวัดสงขลาจึงขอให้ท่านดำเนินการ ดังนี้ 1. เชิญนายอำเภอเมืองสงขลา ร่วมส่งนายเดชอิศม์ ขาวทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ณ ห้องรับรอง ท่าอากาศยานหาดใหญ่ […]

ดราม่า “ไข่เจียวปู 4,000” ถึงหูพาณิชย์

กรุงเทพฯ​ 18 ส.ค.​-“จตุพร” สั่งกรมการค้าภายในตรวจสอบประเด็น​ดราม่า​ “ไข่​เจียวปู” ร้าน​ Michelin Guide สูงถึง​จานละ 4,000 บาท​ จาก​ที่​แจ้งราคาในเมนู​ 1,500​ บาท ย้ำ​ไม่ตรงปกไม่ได้ กรณี “พีชชี่” ยูทูบเบอร์ชื่อดัง โพสต์เล่าประสบการณ์สั่งไข่เจียวปูร้านดังราคาเมนู 1,500 บาท แต่ถูกเก็บจริง 4,000 บาท กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ ล่าสุด นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า จะมอบหมายให้กรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะนี้​ยังไม่ได้รับรายละเอียด​ แต่โดยหลักการแล้ว ราคาที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคต้องตรงกับราคาที่ระบุในเมนู หาก “ไม่ตรงปก” จะบั่นทอนความเชื่อมั่นทางการค้า “การค้าขายจะยั่งยืนได้ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ หากผู้บริโภครู้สึกว่า​ ราคาไม่ตรงกับที่เห็นในเมนู ย่อมเสียความรู้สึก” นายจตุพรกล่าว เรื่องนี้เริ่มจาก “พีชชี่” โพสต์ผ่าน X เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ระบุว่าไปทานไข่เจียวปู ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับการบรรจุใน Michelin Guide โดยเมนูระบุราคา 1,500 […]

“บิ๊กต่าย” ถกบอร์ดกลั่นกรอง เลื่อน “สำราญ-อิทธิพล” ขึ้นรอง ผบ.ตร.

กรุงเทพฯ 17 ส.ค. – ผบ.ตร. นั่งหัวโต๊ะประชุมกลั่นกรองแต่งตั้งนายพลสีกากี เลื่อน “สำราญ-อิทธิพล” ขึ้นรอง ผบ.ตร. ที่ห้องประชุม 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ตร. หรือ “บอร์ดกลั่นกรอง” พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.-ผบก. โดยมี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. และ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผบช.สกพ. และเลขานุการ เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ […]

เสียงเรียกแห่งความอร่อย…ก๋วยเตี๋ยวแต้จิ๋วโบราณเชียงใหม่

เชียงใหม่ 17 ส.ค. – โดดเด่นไม่เหมือนใคร “ก๋วยเตี๋ยวแต้จิ๋วสูตรโบราณ” ของอาแปะตี๋อ้วน ที่แต่งกายแบบล้านนาโบราณ เดินหาบขายตามตลาดและย่านชุมชนใน จ.เชียงใหม่ มานานกว่า 10 ปีแล้ว โดยใช้การตีกังสดาล หรือระฆังวงเดือน เรียกลูกค้า สะดุดตาผู้พบเห็น หลายคนติดใจในรสชาติและราคาที่ย่อมเยา จนมีลูกค้ามากมาย .-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

ดราม่า “ไข่เจียวปู 4,000” ถึงหูพาณิชย์

กรุงเทพฯ​ 18 ส.ค.​-“จตุพร” สั่งกรมการค้าภายในตรวจสอบประเด็น​ดราม่า​ “ไข่​เจียวปู” ร้าน​ Michelin Guide สูงถึง​จานละ 4,000 บาท​ จาก​ที่​แจ้งราคาในเมนู​ 1,500​ บาท ย้ำ​ไม่ตรงปกไม่ได้ กรณี “พีชชี่” ยูทูบเบอร์ชื่อดัง โพสต์เล่าประสบการณ์สั่งไข่เจียวปูร้านดังราคาเมนู 1,500 บาท แต่ถูกเก็บจริง 4,000 บาท กำลังเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกออนไลน์ ล่าสุด นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า จะมอบหมายให้กรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะนี้​ยังไม่ได้รับรายละเอียด​ แต่โดยหลักการแล้ว ราคาที่เรียกเก็บจากผู้บริโภคต้องตรงกับราคาที่ระบุในเมนู หาก “ไม่ตรงปก” จะบั่นทอนความเชื่อมั่นทางการค้า “การค้าขายจะยั่งยืนได้ต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจ หากผู้บริโภครู้สึกว่า​ ราคาไม่ตรงกับที่เห็นในเมนู ย่อมเสียความรู้สึก” นายจตุพรกล่าว เรื่องนี้เริ่มจาก “พีชชี่” โพสต์ผ่าน X เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ระบุว่าไปทานไข่เจียวปู ซึ่งเป็นร้านอาหารไทยเพียงไม่กี่แห่งที่ได้รับการบรรจุใน Michelin Guide โดยเมนูระบุราคา 1,500 […]

กต.โต้ท่าทีกัมพูชา ปมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล

กรุงเทพฯ 17 ส.ค. – โฆษก กต. โต้ 4 ข้อ เกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชา ปมทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ตามที่มีการสอบถามเกี่ยวกับท่าทีของฝ่ายกัมพูชาที่ออกมาแถลงในประเด็นทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในช่วงที่ผ่านมานั้น นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้ 1. เป็นที่น่าเสียดายที่กัมพูชาไม่รับข้อเสนอของไทยในการร่วมเก็บกู้ทุ่นระเบิด ในการประชุม RBC ระหว่างกองกำลังป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด กับกองบัญชาการภูมิภาคทหารที่ 3 ของกองทัพบกกัมพูชา เมื่อวานนี้ (16 ส.ค.68) โดยฝ่ายกัมพูชาระบุว่าต้องขึ้นอยู่กับพัฒนาการของการดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง ตลอดจนเสนอให้มีความร่วมมือเฉพาะในบริเวณที่มีการปักปันเขตแดนแล้วเสร็จก่อน 2. ท่าทีของกัมพูชาดังกล่าว เป็นท่าทีที่ย้อนแย้งกันอย่างชัดเจน โดยกัมพูชาอ้างว่าให้ความสำคัญกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม แต่กลับสร้างเงื่อนไขและปล่อยให้อาวุธร้ายแรงเช่นนี้ยังคงอยู่และถูกนำไปใช้ ถือเป็นการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงของ GBC อย่างชัดเจน และไม่ให้ค่ากับชีวิตและความปลอดภัยของมนุษย์ที่เป็นพี่น้องประชาชนของทั้งสองประเทศ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม และตอกย้ำเจตนารมณ์ที่จะยังคงละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศต่อไป 3. นอกจากนี้ ตามการแถลงข่าวของโฆษก กห. กัมพูชา และกรณีนายเฮง รัตนา ผอ. CMAC เช้าวันนี้ ที่กล่าวอ้างว่าทุ่นระเบิด PMN-2 ที่นำมาเสนอต่อคณะทูต องค์การระหว่างประเทศ […]

“บิ๊กต่าย” ถกบอร์ดกลั่นกรอง เลื่อน “สำราญ-อิทธิพล” ขึ้นรอง ผบ.ตร.

กรุงเทพฯ 17 ส.ค. – ผบ.ตร. นั่งหัวโต๊ะประชุมกลั่นกรองแต่งตั้งนายพลสีกากี เลื่อน “สำราญ-อิทธิพล” ขึ้นรอง ผบ.ตร. ที่ห้องประชุม 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานคณะกรรมการพิจารณาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับ ตร. หรือ “บอร์ดกลั่นกรอง” พิจารณาแต่งตั้งข้าราชการตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.-ผบก. โดยมี พล.ต.อ.ไกรบุญ ทรวดทรง รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ประจวบ วงศ์สุข รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จตช. และ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง ผบช.สกพ. และเลขานุการ เข้าร่วมประชุม ทั้งนี้ […]

มทภ.2 ปฏิเสธรับตำแหน่งทางการเมืองหลังเกษียณ

กาฬสินธุ์ 17 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ร่วมพิธียกเสาเอกเจดีย์โนนสาวเอ้ “หลวงปู่ศิลา” พร้อมปฏิเสธรับตำแหน่งทางการเมืองหลังเกษียณอายุราชการ “บิ๊กกุ้ง” พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 หลังมีหลายฝ่ายเรียกร้องให้ พล.ท.บุญสิน รับตำแหน่งทางการเมือง หรือต่ออายุราชการ จากผลงานแม่ทัพภาคที่ 2 อันโดดเด่น ถูกใจประชาชน วันนี้ พล.ท.บุญสิน ในฐานะลูกศิษย์คนดังของหลวงปู่ศิลา เดินทางมาร่วมพิธีฉลองประกาศตั้งวัดสวนธรรมปีติ และยกเสาเอก เสาโท เจดีย์โนนสาวเอ้ ณ วัดสวนธรรมปีติ ต.เชียงเครือ อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ ขณะทำพิธียกเสาเอก เกิดปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลด ท่ามกลางพุทธศาสนิกชนนับหมื่นคนเข้าร่วมพิธี ขณะที่หลายคนมารอต้อนรับ พล.ท.บุญสิน เพื่อมอบกำลังใจและขอบคุณที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของไทยอย่างเต็มความสามารถจำนวนมาก พล.ท.บุญสิน เปิดเผยถึงแผนในอนาคตหลังจากเกษียณอายุราชการว่า จะไปทำหน้าที่เป็นทหารกองหนุน เป็นพลเมืองที่ดีของประเทศไทย ส่วนตำแหน่งทางการเมืองไม่ขอรับ ขอทำหน้าที่ดูแลประเทศชาติในส่วนที่เราสามารถทำได้.-สำนักข่าวไทย