กรุงเทพฯ 5 พ.ย.-นายลวรณ แสงสนิท
ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยว่า
เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน2562 นายอุตตม
สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
ได้ให้การต้อนรับและประชุมหารือร่วมกับนายวิลเบอร์ รอสส์ (Mr. Wilbur Ross)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริกา
พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานภาครัฐสหรัฐฯ คณะนักธุรกิจชั้นนำของสหรัฐฯ จำนวน 16
บริษัท ณ ห้องจูปิเตอร์ 4-5 อาคารชาเลนเจอร์
ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค
เมืองทองธานีซึ่งมีประเด็นหารือเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจการเงินของประเทศไทย
รวมทั้งมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ
แสดงความชื่นชมการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 35
และการประชุมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทยรวมถึงสนับสนุนการดำเนินนโยบายThailand
4.0 และแสดงความยินดีกับการที่ประเทศไทยได้รับการจัดอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี
2563 (Doing Business 2020) ดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา
รวมทั้งชี้แจงว่าได้นำภาคเอกชนสาขาต่างๆ มาเยือนประเทศไทยครั้งนี้ เนื่องจากสหรัฐฯ
เล็งเห็นโอกาสและลู่ทางการลงทุนในประเทศไทย รวมถึงความเป็นไปได้ในการย้ายฐานการผลิต
(Relocation) มาประเทศไทย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ยืนยัน ถึงเจตนารมณ์ของรัฐบาลที่ต้องการขับเคลื่อนประเทศไทย
ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และยกระดับประเทศไทยสู่ยุค 4.0 เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว
ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม(Transformation) และมุ่งเน้นการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันโดยนักธุรกิจสหรัฐฯ
ได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับโครงการเขตพัฒนาพิเศษตะวันออก (Eastern Economic
Corridor: EEC) ซึ่งมีบริษัทชั้นนำ อาทิ Baxter
International ผู้นำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ได้เข้ามาลงทุนใน EEC
แล้วและมองว่าประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตที่สำคัญสำหรับภูมิภาคอาเซียนได้
นอกจากนี้นักธุรกิจสหรัฐฯ ยังได้แสดงความสนใจโอกาสทางธุรกิจในด้านต่าง ๆ
โดยเฉพาะสาขาพลังงาน การเงิน
และโครงสร้างพื้นฐานซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะให้การสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ
โดยที่ผ่านมา รัฐบาลได้ดำเนินการปรับปรุงกฎระเบียบให้มีความโปร่งใส เช่น
การจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐและพิธีการศุลกากร
มุ่งเน้นการเสริมสร้างบรรยากาศการค้าการลงทุนระหว่างประเทศ
รวมถึงการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย
โดยเห็นได้จากการที่ธนาคารโลกได้ปรับอันดับความยากง่ายในการประกอบธุรกิจประจำปี 2563
ของประเทศไทยมาอยู่ที่อันดับที่ 21 ของโลกนอกจากนี้
รัฐบาลพร้อมที่จะสนับสนุนความร่วมมือระหว่างทั้งสองประเทศในเชิงหุ้นส่วนเพื่อการพัฒนาทั้งในประเทศและอนุภูมิภาค
และสนับสนุนความเชื่อมโยงในภูมิภาคด้วย.-สำนักข่าวไทย