นักวิชาการพลังงาน มั่นใจราคาน้ำมันไทยไม่วิกฤติ

กทม. 16 ก.ย.-สำรวจปั๊มหลังเหตุโจมตีโรงกลั่นน้ำมัน ซาอุฯ คนไทยยังมาเติมน้ำมันตามปกติ นักวิชาการด้านพลังงาน คาดราคาน้ำมันไทยขยับ 1-2 บาท/ลิตร วิธีแก้นำเงินกองทุนน้ำมัน 4 หมื่นล้านมาอุดหนุน เชื่อราคาน้ำมันในไทยไม่ได้วิกฤติเหมือนในอดีตที่สูงถึงลิตรละ 40 บาท 


ความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเช้าวันนี้ (16 ก.ย.) ราคาขึ้นกว่าร้อยละ 10-15 หรือ 7-0 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล เหตุจากการโจมตีโรงกำจัดสารที่ไม่ต้องการของ 2 โรงกลั่นในซาอุดีอาระเบีย กระทบต่อการผลิตน้ำมันและก๊าซฯ 5.7 ล้านบาร์เรล/วัน หรือกว่าร้อยละ 50 ของการผลิตทั้งหมดของซาอุดีอาระเบีย และร้อยละ 5 ของอุปทานน้ำมันทั่วโลก โดยราคาน้ำมันนิวยอร์ก ปรับขึ้นร้อยละ 15 ลอนดอนปรับขึ้นร้อยละ 19 คาดว่าราคาตลาดน้ำมันสิงคโปร์ ซึ่งอิงตามราคาน้ำมันโลก จะขึ้นในระดับใกล้เคียงกันกับนิวยอร์กและลอนดอน โดยประเทศไทยซึ่งอิงราคาตลาดสิงคโปร์ หากราคาน้ำมันปรับขึ้นร้อยละ 15 จะส่งผลให้ราคาขายปลีกของไทยได้รับผลกระทบขยับขึ้นประมาณ 1-2  บาท/ลิตร


นายมนูญ ศิริวรรณ กรรมการปฏิรูปประเทศด้านพลังงาน กล่าวว่า วิเคราะห์สถานการณ์น้ำมันโลกว่าคงไม่ถึงขั้นวิกฤติร้ายแรงเหมือนในอดีต เพราะกำลังการผลิตขณะนี้เกินความต้องการ แต่อาจทำให้การใช้อยู่ในภาวะตรึงตัว และทำให้เกิดความกังวลต่อความมั่นคงของพลังงานในตะวันออกกลาง ในส่วนของประเทศไทยหากกระทรวงพลังงานใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ามาดูแลให้ขยับขึ้นไม่เกิน 1 บาท/ลิตร และเพื่อลดผลกระทบจะขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันทยอยขึ้นราคาครั้งละ 50 สตางค์/ลิตร แต่การใช้เงินกองทุนน้ำมันที่ในขณะนี้มี 4 หมื่นล้านบาท ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เนื่องจากตามพรบ.กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ฉบับใหม่ อนุญาติให้สามารถนำเงินในกองทุนมาใช้ได้หากเกิดเหตุฉุกเฉิกวิกฤติ แต่ต้องติดลบไม่เกิน 2 หมื่นล้านบาท 

นายมนูญ กล่าวว่า ในส่วนของการนำเข้าน้ำมันดิบเพื่อมากลั่นในประเทศนั้น เชื่อว่าจะไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากปัจจุบันปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่ได้ขาดแคลน  ขณะที่การนำเข้าน้ำมันดิบของไทยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าน้ำมันจากภูมิภาคตะวันออกกลางหลายประเทศ คาดว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกครั้งนี้หากจะขยับขึ้นไปอีกก็จะไม่เกิน 80 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งจากราคาน้ำมันดิบมีสำรอง  OVER SUPPLY และต้องดูว่าซาอุฯ จะกลับมาส่งออกได้เร็วเพียงใด อย่างไรก็ตาม จากความเสี่ยงมีมากขึ้นจากที่ซาอุฯ ถูกโจมตีหลายระลอกก็จะทำให้ราคาน้ำมันดิบหากลดลงก็จะไม่ต่ำกว่า ระดับ 60 ดอลลาร์/บาร์เรล” นายมนูญ กล่าว


นายมนูญ กล่าวว่าจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะทำให้คนใช้รถทุกประเภทได้รับผลกระทบอย่างเร็วที่สุดใน 2-3 วันจากนี้ แต่รัฐบาลสามารถนำเงินในกองทุนน้ำมันมาช่วยลดภาระความเดือดร้อนได้ ไม่เพียงแต่น้ำมันแต่ผู้ที่ใช้ก๊าซ แอลพีจี ก็ได้รับผลกระทบ เพราะไทยนำเข้า ก๊าซจากประเทศซาอุดิอารเบียโดยตรง ซึ่งหากปรับขึ้น ราคาจะสูงขึ้น 1-2 บาท เช่นกัน แต่ผู้ใช้ ก๊าซ แอลพีจี ยังมีเวลาอีก 14 วัน กว่าจะถึงสิ้นเดือนในการปรับตัว เพราะการสั่งซื้อมีเป็นวงรอบ และมีกองทุนน้ำมันอุดหนุนอยู่  เชื่อว่าเงินกองทุนน้ำมันหากใช้เต็มลิมิต 6 หมื่นล้านบาท จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ใช้พลังงานได้ 6 เดือน ขณะที่ภาคการขนส่งและอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรง เชื่อว่าจะรับมือได้ เพราะราคาก๊าซแอลพีจีและราคาน้ำมันดีเซล จะไม่สูงเหมือนในอดีตที่ราคา 150 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล จึงขอให้ประชาชนไม่ต้องวิตกกังวงกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะสถานการณ์คงไม่ลำบากเหมือนอดีตอีกแล้ว ยิ่งถ้าประเทศผู้ผลิตน้ำมันในตะวันออกกลางอย่างบาเรนท์หรือการ์ต้า ผลิตน้ำมันนำออกขายมากขึ้น จะช่วยลดปัญหาการขาดแคลนได้ 

ด้านผู้สื่อข่าวสำนักข่าวไทย ได้ไปสำรวจปั๊มน้ำมัน อย่างปั้มปตท.สาขาประชาอุทิศ 2 ย่านเหม่งจ๋าย พบว่าปริมาณรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มาเติมน้ำมันยังไม่หนาแน่นหรือมากผิดปกติ โดยได้ไปพูดคุยกับพนักงานเก็บเงินประจำปั๊ม ได้รับคำตอบว่ามีลูกค้ามาสอบถามเรื่องสถานการณ์ที่ซาอุดิอาระเบียบ้าง แต่เมื่อได้รับคำตอบว่าวันพรุ่งนี้น้ำมันยังไม่ขึ้น ก็เติมตามปกติ ทั้งนี้หากบริษัทจำหน่ายน้ำมันจะมีการปรับราคา จะมีการเปลี่ยนราคาในเวลา 05.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ในวันนี้จะมีคนมาเติมน้ำมันมากในช่วงเย็น แต่วันนี้ยังปกติ เพราะยังไม่มีการประกาศขึ้นราคายอมรับว่าราคาน้ำมันที่ผันผวนปรับขึ้นลงเป็นประจำ 30-50 สตางค์ต่อลิตรทำให้คนเกิดความเคยชิน 

ส่วนผู้ที่มาเติมน้ำมันทั้งรถยนต์และรถจักรยานยน์ บอกตรงกันว่าติดตามข่าวสารเรื่องราคาน้ำมันบ้าง การปรับขึ้นราคาในที่ไม่สูงไม่ได้มีผลต่อการเติมน้ำมัน เพราะน้ำมันเป็นสิ่งจำเป็นไม่ว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นก็จำเป็นต้องเติม ดังนั้นจึงเติมตามความเหมาะสม แต่หากขึ้นสูงมากก็กระทบบ้าง แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังเชื่อว่ารัฐบาลจะดูแลได้ โดยเฉพาะน้ำมันดีเซลที่คควจจะควบคุมไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ธปท.ย้ำเร่งปลดล็อกบัญชีผู้บริสุทธิ์ ทำให้ร้านค้ามั่นใจ

กรุงเทพฯ 15 ก.ย. – ธปท. ย้ำทุกหน่วยงานร่วมกำหนดเงื่อนไขปลดล็อกบัญชีไม่มีเอี่ยวบัญชีม้า สิ้นเดือน ก.ย.นี้ เพื่อให้ร้านค้ามั่นใจรับโอนเงินซื้อสินค้า นางสาวดารณี แซ่จู ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับระบบชำระเงินฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากปัญหาชาวบ้านถูกระงับธุรกรรมและระงับวงเงิน แต่ไม่ได้ระงับเงินในบัญชีในช่วงเดือนกันยายน 68 ตรวจพบบัญชีต้องสงสัยเฉลี่ย 10,000 บัญชี/สัปดาห์ ยอมรับว่าการคุมเข้มในช่วงที่ผ่านมา เพื่อต้องการกวาดเอาเส้นทางบัญชีที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ ทั้งโอนเงินผ่าน e-money และคริบโตฯ ทำให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์ได้รับผลกระทบในบางส่วน ในการทำธุรกรรมทางการเงิน ธปท. จึงเร่งหารือกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกำหนดเงื่อนไขร่วมกันให้เสร็จภายในสิ้นเดือน ก.ย.นี้ “ธปท., ธนาคาร, ตำรวจ ศปอท. พร้อมปลดล็อกให้กับผู้บริสุทธิ์ มุ่งเน้นบัญชีจำนวนไม่มาก เช่นวงเงิน 100-500 บาท หรือร้านค้า ที่มีการซื้อของมาประกอบอาหารหรือสินค้าในร้านเป็นประจำในยอดที่ไม่สูงมากนัก กลุ่มเหล่านี้จะเร่งตรวจสอบ เพื่อแจ้งข้อมูลให้ลูกค้าบัญชีรับทราบ พร้อมทำอย่างรวดเร็ว และมุ่งทำความเข้าใจกับร้านค้า ให้เกิดความเชื่อมั่น และรับเงินโอนจากลูกค้า เพราะที่ผ่านมายอดปฏิเสธรับโอนเงินไม่สูงมากนัก หากตรวจสอบเสร็จแล้วคาดว่าใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง ถึง 1 […]

ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ”

กทม. 15 ก.ย.-ครอบครัวชินวัตร ถึงเรือนจำคลองเปรม เข้าเยี่ยม “ทักษิณ” หลังครบ 5 วันกักโรค และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความส่วนตัวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ทำเรื่องขอเข้าเยี่ยมนายทักษิณ ที่เรือนจำกลางคลองเปรม หลังครบ 5 วัน การกักตัวเฝ้าระวังโรคโควิด-19 และกรมราชทัณฑ์ อนุญาตให้ญาติตามรายชื่อ 10 คน และทนายความ เข้าเยี่ยมได้วันนี้เป็นวันแรก โดยก่อนหน้านี้ พันตำรวจโท เชน กาญจนาปัจจ์ โฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่าอาการของนายทักษิณ โดยรวมดีขึ้น ความดันสูงก่อนหน้านี้ลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งการเข้าเยี่ยมจะเป็นการพูดคุยผ่านกระจกใส เพื่อความปลอดภัย ล่าสุด ครอบครัวชินวัตรเดินทางมาถึงเรือนจำคลองเปรมแล้ว นำโดยคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์, น.ส.พินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ ลูกสาวคนโต และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี.-สำนักข่าวไทย

“บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุม เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน

บช.ก. 15 ก.ย. – “บิ๊กเต่า” เปิดคดีใหม่ พระวัดดังเมืองปทุมธานี เอี่ยวเงินวัดโยงสีกาเยอรมัน ฝากให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหาย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกระแสข่าวพระวัดดังจังหวัดปทุมธานี ที่มีความเกี่ยวข้องกับเงินวัดจำนวน 12.2 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีสีการายหนึ่ง ว่า เรื่องนี้ทราบว่ามีคนแจ้งความและเป็นคดีความอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินการตรวจสอบ และได้ข้อมูลที่น่าสนใจมากพอสมควร ซึ่งสีกาคนดังกล่าวจะเกี่ยวข้องกับสีกาที่ทางตำรวจเพ่งเล็งอยู่หรือไม่จะต้องตรวจสอบในประเด็นนี้ด้วย แต่คดีนี้หลักๆ จะดูที่เส้นทางการเงินของบัญชีวัด หากพบใครเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินการ ส่วนกรณีที่ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช ประธานมูลนิธิทนายกองทัพธรรม นำหลักฐานออกมาโพสต์ผ่านโซเชียลนั้น ก็ถือว่ามีประโยชน์ต่อรูปคดี ส่วนจะเรียกเข้าสอบหรือไม่นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณาของพนักงานสอบสวน ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานเรื่องนี้จะชัดเจน มีรายงานว่าผู้ที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้พบว่ามี 8 คน รวมพระด้วยเป็น 9 คน จึงอยากฝากถึงพระว่า ให้มาชี้แจงความบริสุทธิ์ หากไม่มาจะเสียหายเนื่องจากมีหลักฐานจำนวนมาก.-419-สำนักข่าวไทย

บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินแก๊งคอลเซ็นเตอร์

กทม. 16 ก.ย.-บุกห้ามยายวัย 83 โอนเงินให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เกือบ 5 ล้าน แต่ยายไม่ฟัง ไม่เชื่อว่าโดนหลอก ไล่ตำรวจกลับไป แถมโทรฟ้องมิจฉาชีพว่าตำรวจมากวน สุดท้ายเข้าแจ้งความแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.พระโขนง ตะโกนคุยกับคุณยายวัย 83 ปี ข้ามรั้วประตูบ้าน ว่า อย่าโอนเงินให้มิจฉาชีพอีก หลังธนาคารพบความผิดปกติ เนื่องจากคุณยายถอนเงินออกมาหลายล้านบาท จึงประสานงานไปที่ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ AOC 1441 ให้แจ้งมายังตำรวจนครบาล เพื่อตรวจสอบการโอนเงินของคุณยายโดยด่วน ปรากฏว่า เมื่อตำรวจมาถึงบ้าน คุณยายไม่เชื่อ แถมยังคุยโทรศัพท์กับตำรวจปลอมในมือถือตลอดเวลา แล้วไม่เชื่อว่า ตำรวจที่มาหน้าบ้านเป็นตำรวจจริง จนตำรวจตัวจริงอ่อนใจ ทำได้เพียงแค่ประสานงานผู้นำในชุมชนให้ช่วยดูแลคุณยาย และเตือนเรื่องนี้ ล่าสุดคุณยายมาแจ้งความแล้ว เมื่อวันที่ 13 กันยายน แต่ยังไม่ได้เงินคืน ข้อมูลของตำรวจพบว่า คุณยายโอนเงินไปทั้งหมด 5 ครั้งครั้งแรกวันที่ 3 กันยายน ฝากเงินสดเข้าบัญชีธนาคารแห่งหนึ่ง 3.5 ล้านบาทวันที่ 4 กันยายน โอนเงินสดไป 400,000 บาทวันที่ […]

ข่าวแนะนำ

ปิดล้อมกว่า 8 ชม. จับหนุ่มคลั่งควงปืนสงครามขู่ยิง ตร.

ศรีสะเกษ 17 ก.ย. – พ่อค้ายาเสพติดคลุ้มคลั่ง ควงปืนสงคราม AK-47 ขู่ยิงเจ้าหน้าที่ หลังถูกชุดปฏิบัติการ 238 พิทักษ์นครลำดวน สนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบ้านเป้าหมายพื้นที่ อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ เกลี้ยกล่อมนานกว่า 8 ชั่วโมง สุดท้ายทนแรงกดดันไม่ไหว ยอมวางอาวุธมอบตัวแต่โดยดี เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อมนายวีระศักดิ์ อายุ 35 ปี มีประวัติพัวพันการค้ายาเสพติด ครอบครองอาวุธสงคราม และยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดสุรินทร์ ซึ่งวิ่งเข้าไปหลบภายในบ้าน ต.หนองกุง อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ หลังตำรวจแสดงตัวเข้าตรวจค้น เพราะได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านว่าเป็นเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ มีพฤติกรรมอุกอาจ แต่นายวีระศักดิ์กลับวิ่งไปหยิบอาวุธปืนสงคราม AK-47 ออกมาขู่เจ้าหน้าที่ พร้อมตะโกนด้วยเสียงดุดันว่าถ้าเข้ามาจะยิง จากนั้นรีบหลบกลับเข้าไปในบ้าน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง ปิดล้อมบริเวณโดยรอบอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันเหตุร้าย บรรยากาศตึงเครียด เจ้าหน้าที่พยายามใช้ยุทธวิธีเจรจาเกลี้ยกล่อม ทั้งให้พ่อแม่และญาติสื่อสารทางโทรศัพท์ หวังให้ผู้ต้องหายอมมอบตัวแต่ไม่เป็นผล เนื่องจากนายวีระศักดิ์ยังอยู่ในอาการคลุ้มคลั่งจากการเสพยาบ้า ถือปืนพร้อมยิงตลอดเวลา นานกว่า 8 ชั่วโมง […]

ช่องโดนเอาว์เจอ PMN-2 อีก 8 ทุ่น ทบ.ชี้เขมรยังละเมิดข้อตกลง

17 ก.ย.- ทบ. แจงตรวจพบ PMN-2 เพิ่มเติมอีก 8 ทุ่นบริเวณช่องโดนเอาว์ จ.ศรีสะเกษ ชี้กัมพูชายังคงละเมิดข้อตกลงหยุดยิง ย้ำควรรับผิดชอบและร่วมแก้ไขปัญหาอย่างจริงใจ วันนี้ (17 ก.ย.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่ากองทัพบกได้รับรายงานจากกองทัพภาคที่ 2 ภายหลังจากที่กำลังพลกองร้อยทหารราบที่ 132 ฐานปฏิบัติการชนะศึก ได้ร่วมกับศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อเสริมภารกิจด้านความมั่นคงในพื้นที่ช่องโดนเอาว์ ฐานปฏิบัติการชนะศึก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ วานนี้ (16 ก.ย.68) โดยได้ตรวจพบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลแบบ PMN-2 จำนวน 8 ลูก มีสภาพใหม่ ติดตั้งในลักษณะพร้อมทำงาน ซึ่งทางหน่วยได้ทำการเก็บกู้รื้อถอนและนำเก็บเพื่อรอการทำลายเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการตรวจพบระเบิดดังกล่าว เป็นเครื่องยืนยันว่าฝ่ายกัมพูชายังคงมีความพยายามอย่างไม่ลดละในการใช้อาวุธต่อกำลังของฝ่ายไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิดต่อข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน และเป็นพฤติกรรมที่สวนทางกับข้อตกลงที่กัมพูชาได้ให้ไว้ในที่ประชุม GBC เมื่อวันที่ 10 ส.ค.68 ที่ผ่านมา ในเรื่องความร่วมมือที่จะดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งจากนี้กองทัพบกจะนำหลักฐานที่ได้ตรวจพบทั้งหมดในพื้นที่ รวบรวมนำส่งให้ส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อร้องเรียนตามกระบวนการในเวทีสากลต่างๆ ต่อไป รวมทั้งขอความร่วมมือกัมพูชา […]

ไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เขมรป่วนไม่เลิก

17 ก.ย.- เปิดไทม์ไลน์เหตุเผชิญหน้า “บ้านหนองหญ้าแก้ว” เจ้าหน้าที่ใช้แก๊สน้ำตา-กระสุนยาง หลังชาวเขมรชุมนุมประท้วง ก่อความวุ่นวาย ล่าสุดสถานการณ์ทั่วไปอยู่ในความควบคุม แต่กลุ่มชาวกัมพูชายังคงปักหลักใกล้แนวชายแดน.-สำนักข่าวไทย

ทำเนียบฯ เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่

ทำเนียบ 17 ก.ย.- ทำเนียบรัฐบาล เตรียมพร้อมสถานที่รับนายกฯ-ครม.ใหม่ ถ่ายรูปติดบัตร ก่อนถวายสัตย์ปฏิญาณ ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ทำเนียบรัฐบาลได้จัดเตรียมสถานที่สำหรับถ่ายรูปติดบัตรประจำตัวของคณะรัฐมนตรี ก่อนเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอน และยังมีการตัดแต่งต้นไม้ บริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาล และตัดหญ้าด้านหน้าตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อเตรียมพื้นที่สำหรับการถ่ายรูปหมู่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ตั้งแต่เมื่อวานนี้ (16 ก.ย.) นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวที่ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานของรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา และวันนี้มีการส่งทีมงานเข้ามาดูห้องทำงานภายในตึกบัญชาการ 1 ด้วย สำหรับตำแหน่งว่าที่รองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลอนุทิน มีชื่อทั้งหมด 7 คน ได้แก่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี และนายโสภณ​ ​ซา​รัมย์​ รอง​นายก​รัฐมนตรี​ ขณะที่ตำแหน่งว่าที่รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี […]