กรุงเทพฯ 25 ก.ค. – ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินคาดจีดีพีปี 62 ขยายตัวร้อยละ 3.6 ชะลอตัวจากสงครามการค้า-เงินบาทแข็งค่า
นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ศูนย์วิจัยธนาคารออมสินคาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 2562 จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 3.6 ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องเป็นแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าและบริการ ประกอบกับหนี้ครัวเรือนที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน สำหรับเศรษฐกิจไทยปี 2563 คาดว่าจะขยายตัวได้ร้อยละ 3.5
สำหรับการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปี 2562 มีปัจจัยสนับสนุนจากสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่กลับเข้าสู่ภาวะปกติจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวได้จากความต่อเนื่องของนโยบายภาครัฐและเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ประกอบกับตัวเลขส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น มาตรการพยุงเศรษฐกิจผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายในประเทศ เพื่ออัดฉีดเม็ดเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ช่วยประคองกำลังซื้อของภาคครัวเรือน อัตราดอกเบี้ยทรงตัวระดับต่ำและราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลงเป็นผลดีต่อต้นทุนทางธุรกิจ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้านต่างประเทศยังคงอยู่ในเกณฑ์ดีส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ
ส่วนปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยปี 2562 ได้แก่ ผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน และค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าและบริการ การใช้จ่ายของภาครัฐอาจต่ำกว่าเป้าหมาย เนื่องจากความล่าช้าในกระบวนการเบิกจ่าย และการประกาศใช้ พ.ร.บ. งบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 ที่อาจไม่เป็นไปตามแผน เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง กระทบต่อกำลังซื้อของชาวจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อหลัก ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ระดับ Hi-End มีแนวโน้มลดลง หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับสูง ขณะที่คุณภาพสินเชื่อมีแนวโน้มด้อยลง ส่งผลต่อกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวชะลอตัวลง
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ดี แต่มีแนวโน้มด้อยลงจากการเกินดุลการค้าและดุลบริการที่ลดลง อัตราเงินเฟ้อทั่วไปชะลอตัวจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลงตามกำลังซื้อภายในประเทศ ขณะเดียวกันทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินยังมีแนวโน้มผ่อนคลายเพื่อประคองเศรษฐกิจให้สามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการใช้มาตรการดูแลเสถียรภาพระบบการเงินและมาตรการกำกับดูแลสถาบันการเงิน รวมทั้งมาตรการดูแลการแข็งค่าของเงินบาทด้วยการลดปริมาณการขายพันธบัตรระยะสั้นของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะสามารถดูแลจุดที่มีความเปราะบาง ทำให้เศรษฐกิจสามารถขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพระยะยาว ภายใต้แรงกดดันจากความเสี่ยงการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า.-สำนักข่าวไทย