กรุงเทพฯ 8 ก.ค. – “ไบโอไท ชี้อำนาจห้ามใช้ – ยกเลิกนำเข้า อยู่ที่ รมว.เกษตรฯมีอำนาจเต็ม จี้แบน 3 สารพิษทันที เผยมติลับคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีตัวแทนกระทรวงเกษตรอยู่ในฝ่าย15:6 ไม่แบนทำให้เด็กไทยทุก 1 ใน 2 คนมีโอกาสเกิดมาพร้อมพาราควอตปนเปื้อน
นายวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้อำนวยการมูลนิธิชีววิถี (ไบโอไท) กล่าวถึงข้อสั่งการของนายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ให้หน่วยราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรตอบว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ มีอำนาจห้ามการใช้สารเคมีทางการเกษตรหรือไม่ โดยระบุถึงการลงมติแบบไม่เปิดเผยของคณะกรรมการวัตถุอันตรายก่อนหน้านี้ที่ไม่แบน 3 สารพิษ ด้วยคะแนน 16:5 ซึ่งจะทำให้เด็กไทยทุก 1 ใน 2 คนมีโอกาสเกิดมาพร้อมพาราควอตปนเปื้อน จึงเรียกร้องให้แบนพาราควอตโดยทันที ที่ผ่านมาผู้มีอำนาจปัดความรับผิดชอบว่า การยกเลิกการใช้สารพิษนั้นไม่ใช่อำนาจของตน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯ มีบทบาทเต็มตามกฎหมาย และบทบาทหน้าที่ในการยกเลิกการใช้พาราควอต แต่ก็ไม่ดำเนินการ อีกทั้งชี้ว่า กระทรวงเกษตรฯ สามารถดำเนินการได้ดังนี้
1. เมื่อเห็นว่าสารเคมีกำจัดศัตรูพืชใดมีอันตรายต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม กระทรวงเกษตรสามารถเสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตราย เพื่อพิจารณาให้เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 ก็ทำได้ แต่กระทรวงเกษตรฯ กลับไม่ได้ทำตามข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขและคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง 4 กระทรวงหลัก ก่อนการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย นายกฤษฎา บุญราช ให้ข่าวว่าจะเสนอแบนภายในไม่เกิน 3 ปี แต่เมื่อถึงเวลาประชุม ตัวแทนของกระทรวงเกษตรทั้ง 5 คน ที่เข้าประชุมตามคำสั่งของรัฐมนตรี กลับมิได้เสนอให้มีการ “แบนภายในไม่เกิด 3 ปี” แต่กลับเสนอ “จำกัดการใช้” โดย “เมื่อพ้นระยะเวลา 2 ปี แล้วค่อยให้มีการพิจาณากันใหม่” ดังปรากฏหลักฐานข้อเสนอของกระทรวงเกษตรที่เสนอต่อคณะกรรมการวัตถุอันตราย
แนวปฏิบัติในคณะกรรมการวัตถุอันตรายนั้น หากกระทรวงเกษตรซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบดูแลวัตถุอันตรายประเภทใด กรรมการวัตถุอันตรายก็จะลงมติไปตามนั้น ดังคำให้สัมภาษณ์ของนายณัฐพล ณัฏฐสมบูรณ์ อดีตอธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ว่า ในทางปฏิบัติคณะกรรมการวัตถุอันตรายจะไม่ค่อยได้ออกความเห็น ถ้าสารเคมีชนิดใดเกี่ยวข้องกับกระทรวงไหน จะให้คณะกรรมการและอนุกรรมการที่มาจากกระทรวงนั้นเป็นผู้รับผิดชอบ โดยเมื่อคณะอนุกรรมการพิจารณาเสนอเรื่องขึ้นมาแล้ว คณะกรรมการวัตถุอันตรายจะเห็นชอบตามนั้นและออกมาเป็นมติสิ้นสุด ดังนั้นการที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายมิมติไม่แบนพาราควอตจึงมาจากข้อเสนอของกระทรวงเกษตรเอง ไม่ใช่หน่วยงานอื่น
2. หากกระทรวงเกษตรมีความประสงค์จะให้มีการแบนพาราควอตภายใน 3 ปีจริง ผู้แทนของกระทรวงเกษตร 5 คน ย่อมลงมติให้มีการแบนสารพิษนี้ แต่จากการตรวจสอบ ผู้ที่ลงมติแบนพาราควอต 5 คน ได้แก่ ผู้แทนจากกระทรวงสาธารณสุข 3 คน ผู้ทรงคุณวุฒิ 1 คน และอีก 1 คนนั้นก็มิใช่ตัวแทนของกระทรวงเกษตรแต่ประการใด การอ้างว่า ผู้แทนกระทรวงเกษตรมี 5 คน โหวตไปก็แพ้เขาจึงเป็นการโยนบาปให้แก่หน่วยงานอื่น
3. นอกเหนือจากการมีสิทธิในการเสนอให้แบน และลงมติให้แบนโดยการพิจารณาให้พาราควอตเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 แล้ว กระทรวงเกษตรยังมีอำนาจเต็มในการพิจารณาการต่อทะเบียนหรือไม่ต่อทะเบียนวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ได้ด้วย ดังที่ในปี 2555-2556 แม้คณะกรรมการวัตถุอันตรายยังไม่ประกาศให้คาร์โบฟูราน และเมโทมิล เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 แต่กรมวิชาการเกษตร ที่มีนายดำรง จิระสุทัศน์ เป็นอธิบดี และมีนายยุคล ลิ้มแหลมทอง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ ก็ไม่อนุญาตให้มีการขึ้นทะเบียน ตามอำนาจหน้าที่ ในประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ.2551 เรื่อง “การขึ้นทะเบียน การออกใบสำคัญและการต่ออายุใบสำคัญการขึ้นทะเบียนวัตถุอันตรายที่กรมวิชาการเกษตรรับผิดชอบ” เมื่อกระทรวงสาธารณสุขจี้ให้เลิกใช้ จนกระทั่งบัดนี้คาร์โบฟูราน และเมโทมิล ก็มิได้รับอนุญาตให้มีการนำเข้า จำหน่าย และมีไว้ในครอบครองอีกเลย
4. น่าตระหนกที่กระทรวงเกษตรฯได้เพิกเฉยต่อข้อมูลและข้อเสนอแนะของ 1) กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาสารเคมีกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง (ซึ่งมีตัวแทนจาก 4 กระทรวงหลักรวมทั้งกระทรวงเกษตรฯด้วย) 2) สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ 3) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข 4) คณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 5) ผู้ตรวจการแผ่นดิน 6) คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ 7) สภาเกษตรกรแห่งชาติ 8) สภาเภสัชกรรม 9) แพทยสภา 10) เครือข่ายประชาคมวิชาการ 11) เครือข่ายนักธุรกิจเพื่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 12) องค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) และ13) เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษที่มีอันตรายร้ายแรง 686 องค์กร ซึ่งอาจถือได้ว่าแทบจะเป็นฉันทามติทางวิชาการและสังคมไทยได้ แต่กลับไปให้ความเชื่อถือแก่ นักวิชาการบางกลุ่มแทน . – สำนักข่าวไทย