กทม. 25 ก.ย. – มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เผยผลการสุ่มตรวจน้ำปู หรือน้ำปู๋ เครื่องปรุงรสภาคเหนือ พบ 8 จาก 24 ตัวอย่าง ปนเปื้อนพาราควอต ทั้งที่ยกเลิกใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 พร้อมเดินหน้ายื่นหนังสือถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย ให้แบนสารอันตรายออกจากประเทศ
ศูนย์ทดสอบฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค แถลงผลการตรวจวิเคราะห์น้ำปู หรือน้ำปู๋ อาหารพื้นบ้านภาคเหนือ พบมีสารพาราควอตตกค้างใน 8 ตัวอย่าง จากทั้งหมด 24 ตัวอย่าง คิดเป็นร้อยละ 33 หรือ 1 ใน 3 ของตัวอย่างที่สุ่มตรวจทั้งหมดใน 6 จังหวัดพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่ พะเยา เชียงราย เชียงใหม่ ลำปาง ลำพูน แพร่ ซึ่งทำการเก็บตัวอย่างระหว่างวันที่ 7-15 กันยายน 2563 และส่งตรวจในห้องปฏิบัติการมาตรฐาน โดยตัวอย่างทั้งหมดมีค่าเฉลี่ยของสารตกค้างพาราควอต อยู่ที่ 0.04275 มิลลิกรัม/กิโลกรัม
น้ำปู๋ที่พบมีสารพาราควอตตกค้างสูงสุดคือ น้ำปู๋ ที่เก็บตัวอย่างจาก ต.บ้านลา อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง พบสูงถึง 0.090 มิลลิกรัม/กิโลกรัม รองลงมาคือ ตัวอย่างน้ำปู๋ จาก ต.ทุ่งฮั้ว อ.วังเหนือ จ.ลำปาง พบ 0.074 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จากตลาดสดข่วงเปา ต.ข่วงเปา อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ 0.046 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จาก ต.แม่ยางฮ่อ อ.ร้องกวาง จ.แพร่ 0.042 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จากบ้านป่าสัก ต.ศรีถ้อย อ.แม่ใจ จ.พะเยา 0.040 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จากตลาดบ้านปางลาว ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย 0.031 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จากบ้านหนุน อ.ปง จ.พะเยา 0.011 มิลลิกรัม/กิโลกรัม และจากบ้านร่องกาศใต้ ต.ร่องกาศ อ.สูงเม่น จ.แพร่ 0.006 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ที่เหลืออีก 16 ตัวอย่าง ไม่พบสารตกค้าง
นางสารี อ๋องสมหวัง บรรณาธิการนิตยสารฉลาดซื้อ บอกว่า แม้ผลตรวจวิเคราะห์จะพบสารพาราควอตปริมาณไม่มาก แต่เป็นเรื่องผิดกฎหมาย สันนิษฐานว่าปูนาที่เก็บมาจากท้องนามีการปนเปื้อนพาราควอต แม้ไทยจะมีการห้ามนำเข้า ห้ามผลิต ห้ามจำหน่าย สารดังกล่าวมาตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2563 แต่ก็ยังมีสารพาราควอตตกค้างในสิ่งแวดล้อมและอาหาร ไม่สอดคล้องกับที่กระทรวงเกษตรฯ นำข้อมูลของ “ฉลาดซื้อ” ไปอ้างว่าไม่พบพาราควอตในปูนา และใช้เป็นเหตุผลในการพิจารณาให้ยกเลิกการใช้สารพาราควอต ในการประชุมที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 28 กันยายนนี้ เนื่องจากข้อเท็จจริง ข้อมูลของนิตยสารฉลาดซื้อที่ถูกนำไปกล่าวอ้าง เป็นการสุ่มตรวจปูนาเลี้ยงดองเค็ม ที่ใช้ในการทำส้มตำในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เท่านั้น พร้อมย้ำพาราควอตเป็นสารเคมีที่มีพิษเฉียบพลัน และมีอันตรายร้ายแรงต่อสุขภาพ
หลังจากนี้ทางเครือข่ายผู้บริโภคจะไปยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการวัตถุอันตราย ที่กระทรวงอุตสาหกรรม ยืนยันให้แบนสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ตัวข้างต้น ออกจากประเทศไทย .-สำนักข่าวไทย