กรุงเทพฯ 19 ส.ค. – เชฟรอนฯ พร้อมเข้าประมูลแหล่งเอราวัณ ยืนยันลงทุนในไทยและเมียนมาร์ต่อเนื่อง ส่วนราคาน้ำมันผันผวนต้องปรับกลยุทธ์เพิ่มประสิทธิภาพลดคนให้เหมาะสมกับงาน ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดโลกแตะ 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลแล้ว เตือนราคาขายปลีกไทยขยับขึ้น
นายสตีฟ กรีน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เชฟรอนเอเชียแปซิฟิกสำรวจและผลิต จำกัด กล่าวว่า แม้สถานการณ์ราคาน้ำมันจะมีความผันผวน แต่เชฟรอนยังลงทุนในไทยต่อไป โดยโครงการกลุ่มเอาราวัณที่สัมปทานจะหมดอายุปี 2565 นั้น หวังว่าเชฟรอนจะได้เป็นพันธมิตรที่ดีกับประเทศไทยต่อเนื่องต่อไป แต่เราไม่ใช่คนที่จะบอกได้ว่าเงื่อนไขหรือข้อกำหนดจะเป็นอย่างไร บทบาทอย่างหนึ่งของรัฐบาล คือ การสร้างบรรยากาศการลงทุนที่ดึงดูดนักลงทุนจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อผลิตก๊าซธรรมชาติมาขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จุดนี้เชฟรอนสามารถช่วยแบ่งปันประสบการณ์และความเชี่ยวชาญของเราได้ แต่ท้ายที่สุด รัฐบาลจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับประเทศ
ทั้งนี้ รัฐบาลไทยอยู่ระหว่างการพิจารณาเงื่อนไขการประมูลแหล่งสัมปทานปิโตรเลียมที่จะหมดอายุปี 2565-2566 ประกอบด้วย แหล่งของเชฟรอนและ บงกช (ดำเนินการโดย ปตท.สผ.) คาดว่าจะเปิดประมูลปี 2560
ด้านการลงทุนในแหล่งยาดานาของเชฟรอนในเมียนมาร์ นายสตีฟ กรีน กล่าวว่า เชฟรอนอยู่ระหว่างการพิจารณาว่ามีผู้ที่แสดงความสนใจหรือไม่ ปัจจุบันบริษัทฯ เน้นให้ความสำคัญกับโครงการที่บริษัทฯ เป็นผู้ดำเนินงาน โดยบริษัทฯ ยินดีที่จะเก็บโครงการยาดานาไว้ หากไม่มีข้อเสนอที่เหมาะสมและน่าสนใจ ซึ่งโครงการทั้งในไทยและเมียนมาร์ บริษัทให้ความสำคัญ เพราะเมื่อเชฟรอนพิจารณาธุรกิจทั่วโลก พบว่าโอกาสในการเติบโตในของเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ยังมีอีกมาก โดยปี 2559 เชฟรอนและบริษัทผู้ร่วมทุนวางแผนที่จะลงทุนรวมกว่า 100,000 ล้านบาท กับโครงการต่าง ๆ ในอ่าวไทย นอกจากนั้น ทุกปีจะต้องมีการขุดเจาะเพิ่มต่อเนื่องประมาณ 300-400 หลุม เพื่อรักษาระดับการผลิตโดยก๊าซธรรมชาติที่เชฟรอนผลิตได้ในประเทศไทยคิดเป็นประมาณร้อยละ 50 ของการผลิตก๊าซธรรมชาติในประเทศและคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 1 ใน 3 ของความต้องการใช้ไฟฟ้าโดยรวม
“เชฟรอนมุ่งมั่นเป็นพันธมิตรที่ดีกับทุกรัฐบาลที่ทำงานด้วยและเป้าหมายคือการดำเนินงานอย่างมืออาชีพ เป็นที่เชื่อถือได้ และมีอิสระในการปฏิบัติการ จึงไม่เกี่ยวว่าขณะนั้นรัฐบาลไหนเป็นผู้ดำเนินการ และนี่ถือเป็นกลยุทธ์หลักที่ทำให้สามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกประเทศ” นายสตีฟ กล่าว
นายสตีฟ กล่าวว่า เชฟรอนดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 53 ปี ปัจจุบันเชฟรอนประเทศไทยมีพนักงานประมาณ 1,600 คน และกว่าร้อยละ 94 เป็นคนไทย รวมถึงมีพนักงานผู้รับเหมากว่า 1,300 คน อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาน้ำมันต่ำลงอย่างต่อเนื่องอย่างที่เห็นกันในช่วงที่ผ่านมานี้บริษัทในอุตสาหกรรมนี้ อย่างเชฟรอนต่างจำเป็นต้องหันกลับมามองว่างานแบบไหนที่ยังควรจะดำเนินต่อไป ขณะที่งานที่ต้องทำมีน้อยลง จึงจำเป็นต้องพิจารณาการจ้างงานตามความจำเป็นของงานที่ต้องการและจำนวนพนักงานที่เหมาะสมที่จะดำเนินงานและปรับทุกอย่างให้สมดุลกัน
“ส่วนโครงการหลักที่ดำเนินการในอ่าวไทยนั้น ขอยืนยันว่าตั้งใจจะเก็บไว้ในพอร์ตการลงทุนหลักของเราทั้งหมด ไม่ได้จะถอนการลงทุนจากประเทศไทยแน่นอน” นายสตีฟ กล่าว
นายสตีฟ กรีน ก่อนหน้าที่จะร่วมงานกับเชฟรอนเคยทำงานกับยูโนแคลก่อนควบรวมกิจการกับเชฟรอน และได้ให้มุมมองถึงธุรกิจในช่วงน้ำมันขาลงไว้อย่างน่าสนใจว่า การสำรวจและผลิตปิโตรเลียมเป็นธุรกิจที่ต้องมองระยะยาว ต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอด แล้วจะประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าราคาน้ำมันจะสูงหรือต่ำ หัวใจสำคัญคือต้องบริหารงานอย่างมีความรับผิดชอบให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดได้ และต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงวัฎจักรราคาพลังงานที่มีขึ้นและมีลง
“ตลอด 37 ปีที่ทำงานในอุตสาหกรรมนี้ ผ่านช่วงเวลาที่ราคาน้ำมันสูงและเวลาที่ราคาน้ำมันต่ำมามากมาย เริ่มทำงานในธุรกิจนี้เมื่อปี 2523 ผ่านช่วงที่ราคาน้ำมันลดลงกว่าร้อยละ 50 ภายในรอบ 6 เดือน มาเป็นครั้งที่ 5 แล้ว คนที่ทำงานในธุรกิจนี้ต่างเคยประสบวัฎจักรราคาเช่นนี้ และก็ผ่านพ้นช่วงเวลาเช่นนี้ไปได้ด้วยดีทุกครั้ง แต่ธุรกิจที่จะประสบความสำเร็จจะต้องมีความสามารถในการแข่งขันจะต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง และต้องบริหารจัดการธุรกิจในหลากหลายด้านอย่างมีประสิทธิภาพได้” นายสตีฟ กล่าว
ด้าน บมจ.ไทยออยล์รายงานราคาน้ำมันขยับขึ้นตลาดเบรนท์แห่งลอนดอน วานนี้ (18 ส.ค.) ปิด 50.89 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 6 สัปดาห์ และหากนับตั้งแต่ช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (วานนี้ปิดที่ 48.22 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล) และเบรนท์ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วกว่าร้อยละ 20 โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวการเจรจาของผู้ผลิตในกลุ่มโอเปกและนอกกลุ่มโอเปกที่อาจเห็นพ้องในเรื่องของการตรึงกำลังผลิตในเดือนหน้า
ด้านผู้ค้าน้ำมันระบุว่าราคาน้ำมันดิบและ ราคาน้ำมันตลาดสิงคโปร์ปรับพุ่งขึ้นเป็นที่คาดว่าราคาน้ำมันขายปลีกของไทยจะปรับราคาอีกใน 1-2 วันนี้ โดยวานนี้น้ำมันดิบดูไบปิดที่ 46.56 เหรียญสหรัฐ , เบนซิน 57.30 เหรียญสหรัฐ และดีเซล 56.90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล .-สำนักข่าวไทย