กรุงเทพฯ 22 พ.ค. – ก.พลังงานงัดแผนรับมือวิกฤติพลังงาน จากการคว่ำบาตรอิหร่าน สั่งทุกโรงกลั่นฯ-ปตท.รายงานทุกวัน พร้อมใช้กองทุนน้ำมันดูแลหากราคากระชากแรง เชียร์ใช้บี 20 แก้ปัญหาพึ่งพาการนำเข้า ข้องใจโรงสกัดขายน้ำมันปาล์มดิบไม่ครบ 1 แสนตัน
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ขณะนี้ได้ใช้แผนรองรับสภาวะฉุกเฉินด้านพลังงาน เพื่อรับมือราคาน้ำมันดิบดูไบที่พุ่งขึ้นถึง 72 ดอลลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล จากกรณีเหตุการณ์ความขัดแย้งในพื้นที่ตะวันออกกลางที่สหรัฐคว่ำบาตรอิหร่าน และอาจกระทบต่อการส่งออกน้ำมันที่ช่องแคบฮอร์มุสที่เป็นเส้นทางส่งออกน้ำมันหลัก โดยให้ ปตท.และโรงกลั่นน้ำมันทุกแห่งรายงานถึงปริมาณน้ำมันดิบ การผลิตและการจำหน่ายทุกวัน รวมถึงเรือขนส่งน้ำมันว่าอยู่ในจุดใด เพื่อให้ได้รับทราบถึงการจัดหาโดยเน้นมั่นคงเพียงพอ ขณะเดียวกันได้ให้สำรวจปริมาณน้ำมันน้ำมันในคลังพื้นที่ภูมิภาคทุกแห่ง ซึ่งสำรองน้ำมันของไทยสามารถรองรับได้ยาวนานถึง 30-45 วัน
ส่วนด้านราคาน้ำมันที่หากเกิดการกระชากปรับขึ้นอย่างรุนแรง ทางกระทรวงฯ จะใช้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่มีเงิน 36,000-37, 000 ล้านบาทเข้ามาดูแล โดยวันพรุ่งนี้ (23 พ.ค.) จะมีการนัดหารือทุกหน่วยงานซ้อมแผนรับมือครั้งที่ 2
“การใช้แผนฉุกเฉนด้านพลังงานเป็นแผนที่เตรียมพร้อมไว้ โดยขอให้ประชาชนอย่าตระหนก ขอยืนยันว่ามาตรการต่าง ๆ มีเพียงพอในการดูแล” รมว.พลังงาน กล่าว
รมว.พลังงาน กล่าวว่า แม้เหตุการณ์ในตะวันออกกลางจะกระทบต่อปริมาณการผลิตน้ำมัน แต่กรณีสงครามการค้าสหรัฐ-จีน ได้กดดันเศรษฐกิจโลกให้ชะลอตัว โดยเกาหลีใต้ประเมินส่งออกอาจลดลงร้อยละ 20-30 ไทยอาจลดลงร้อยละ 10 หากทุกประเทศกระทบกันหมด ก็จะส่งผลกระทบต่อความต้องการน้ำมันให้ชะลอลง ซึ่งจะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันดิบดูไบก็ยังอยู่ในช่วงที่ไม่สูงจนเกิดไปยังอยู่ในคาดการณ์ที่ประมาณ 73-75 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ขณะที่ราคาก๊าซหุ้งต้มราคาตะวันออกกลาง (ซีพี ) ได้ปรับลดตามฤดูกาล จากราคา 520 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน มาอยู่ที่ 425-430 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน
รมว.พลังงาน กล่าวด้วยว่า หากผู้ใช้น้ำมันดีเซลหันมาใช้บี 10-บี 20 ก็จะช่วยลดผลกระทบการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันลงได้ และเป็นการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกปาล์ม ส่วนกรณีที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ.ประกาศรับซื้อน้ำมันปาล์มดิบ (ซีพีโอ) เพื่อผลิตไฟฟ้าได้เพียง 45,300 ตัน จากที่ประกาศรับซื้อเพื่อส่งมอบเดือนพฤษภาคม 100,000 ตันนั้น โดยเป็นราคานำตลาดที่ 16.50 บาท/กก. เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเกิดอะไรขึ้น โรงสกัดน้ำมันจึงไม่สามารถเสนอขายได้ครบปริมาณที่ประกาศ ปริมาณมีต่ำกว่าประเมินสตอกหรือไม่ที่มีประมาณ 250,000 ตัน โดยกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ฯ จะวิเคราะห์ร่วมกันว่าปัญหา ” คอขวด” อยู่ตรงไหน เพราะหากโรงสกัดขายได้ 100,000 ตัน ก็เชื่อมั่นว่าราคา ผลปาล์มดิบจะเพิ่มขึ้นไปถึง 2.85 บาท จากราคาปัจจุบัน 2.20-2.50 บาท/กก. โดยหากผลวิเคราะห์ออกมาเรียบร้อยแล้วช่วยกันหาทางแก้ไข เพื่อให้การรับซื้อซีพีโอแล้วเกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุด ทาง กฟผ.ก็จะประกาศรับซื้อให้ครบปริมาณที่ ครม.กำหนดให้รับซื้อเพิ่มเติมให้ครบ 100,000 ตันก่อน และสามารถซื้อได้อีก 100,000 ตัน หากปริมาณสตอกซีพีโอยังมีปริมาณสูงมาก
“คงต้องดูว่าปัญหา “คอขวด” อยู่ตรงไหน ทำไมโรงสกัดน้ำมัน จึงขายได้ต่ำกว่า 100,000 ตัน สตอกอยู่ในเกณฑ์ต่ำหรือไม่ หากแก้ไขปัญหาได้ กระทรวงพลังงานจะให้ กฟผ.ประกาศรับซื้อเพิ่มเติม เพราะเป้าหมายหลัก คือ ต้องการให้ไปถึงมือเกษตรกร ราคาผลปาล์มดิบจะต้องสูงขึ้น” รมว.พลังงาน กล่าว.-สำนักข่าวไทย