ศาลปกครอง 16 พ.ค.- ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับคำสั่งปลดออกจากราชการ 89 อดีตข้าราชการทุจริตสอบเข้า รร.นายอำเภอ ระบุ แม้ถูก ป.ป.ช. ชี้มูลกระทำผิดวินัยร้ายแรง แต่เป็นกรณีประพฤติชั่วร้าย ไม่ใช่ทุจริตต่อหน้าที่ ต้นสังกัดต้องตั้งกรรมการสอบก่อน ไม่ใช่สั่งปลดเลย
ศาลปกครองสูงสุด วันนี้ (16 พ.ค.) มีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษา โดยสั่งระงับคำสั่งปลดนายคิม ปรีเปรม กับพวก รวม 89 คน ออกจากราชการ ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา จากคดีที่นายคิมกับพวก ที่เป็นอดีตข้าราชการพลเรือน ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลว่ากระทำผิดวินัยร้ายแรง กรณีทุจริตการสอบเข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตรนายอำเภอ เหตุเกิดเมื่อปี 2552 ต่อมากรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งปลดออกจากราชการ เมื่อปี 2558 และได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม กับพวกรวม 6 คน ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาเพิกถอนคำสั่งปลดออกจากราชการ ดังกล่าวเนื่องจากเห็นว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
โดยเหตุผลที่ศาลปกครองสูงสุดระงับคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระบุว่า รัฐธรรมนูญและ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ให้อำนาจแก่ ป.ป.ช. ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการไต่สวนกรณีที่มีการกล่าวหาเจ้าหน้าที่ของรัฐว่ากระทำความผิดวินัยฐานทุจริตต่อหน้าที่ ดังนั้น หากการไต่สวนข้อเท็จจริงและชี้มูลความผิดทางวินัยของ ป.ป.ช. ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้ถูกร้องเรียนได้กระทำความผิดวินัยฐานอื่น อันมิใช่ฐานทุจริตต่อหน้าที่เช่นในคดีนี้ ที่ ป.ป.ช.ชี้มูลว่า นายคิมกับพวกกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ฐานกระทำการอันได้ชื่อว่า เป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง กรณีดังกล่าวจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติแห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ที่คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 อธิบดีกรมการปกครอง ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 5 และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 6 จะต้องถือเอารายงานการไต่สวนข้อเท็จจริงและความเห็นของ ป.ป.ช. เป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัย ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2541 แล้วพิจารณาโทษทางวินัยตามฐานความผิดที่ป.ปช. มีมติโดยไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอีกได้
อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ จึงต้องดำเนินการสอบสวนทางวินัยนายคิมกับพวกที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนตามขั้นตอนของกฎหมาย แล้วออกคำสั่งลงโทษตามฐานความผิดที่ได้ดำเนินการสอบสวนใหม่ต่อไป การที่อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และอธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ มีคำสั่งลงโทษปลดนายคิมกับพวกออกจากราชการตามข้อพิพาทนี้ โดยไม่ได้ดำเนินการสอบสวนทางวินัย ก่อนออกคำสั่งคำสั่งลงโทษดังกล่าว จึงน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หากต่อมาศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่า คำสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย การที่ นายคิมกับพวก มิได้รับราชการ ย่อมทำให้ นายคิม กับพวก หมดโอกาสในการเลื่อนขั้นเงินเดือนกรณีพิเศษหรือตำแหน่งหน้าที่ที่สูงขึ้น หรือหากได้เกษียณอายุราชการไปแล้ว นายคิมกับพวก ย่อมไม่อาจกลับเข้ารับราชการได้ ดังนั้น หากให้คำสั่งปลดดังกล่าวมีผลใช้บังคับต่อไป ย่อมเป็นกรณีที่ยากจะเยียวยาแก้ไขความเสียหายให้แก่นายคิมกับพวก ได้ในภายหลัง
นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นแก่การบริหารงานของรัฐ หรือแก่บริการสาธารณะ ระหว่างการให้นายคิมกับพวกได้ปฏิบัติหน้าที่ราชการในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลไปก่อน ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ทางราชการที่จะได้บุคลากรกลับมาปฏิบัติหน้าที่ อันจะเป็นผลให้มีกำลังคนหรือบุคลากรเพิ่มขึ้นในการบริหารราชการแผ่นดินหรือการจัดทำบริการสาธารณะของรัฐ ก่อให้เกิดความรวดเร็วและต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น
ศาลปกครองสูงสุดจึงมีคำสั่งทุเลาการบังคับตามคำสั่งปลดผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเป็นอย่างอื่น .-สำนักข่าวไทย