ทำเนียบ 22 พ.ค.-“ภูมิธรรม” มองศาลสั่ง “ยิ่งลักษณ์” ชดใช้เงิน 10,028 ล้านบาท ลดทอนลงมาเหลือ 1 ใน 3 เห็นความคลาดเคลื่อน บอกเป็นหน้าที่ทนายยื่นหลักฐานใหม่ให้ศาล ลั่นสมัยเป็น รมว.พาณิชย์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วเป็นข้าวดีขายได้กิโลละ 18 บาท สงสัยเหตุใดก่อนหน้านี้ขายได้แค่ 5-6 บาท
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ต้องชดใช้ค่าเสียหายโครงการรับจำนำข้าว ในส่วนระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี 10,028 ล้านบาท ว่า เข้าใจว่าก่อนหน้านี้ศาลได้มีคำพิพากษา ให้ชดใช้ 3.5 หมื่นล้านบาท แต่การพิจารณาวันนี้ก็ทำให้เห็นว่า มีประเด็นที่อาจจะทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนได้ ทำให้มีการพิจารณาลดทอน ลงมาเหลือ 1ใน3 ซึ่งถือเป็นดุลยพินิจของศาล ในการพิจารณาเราก็ต้องเคารพ ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาก็มีหน้าที่จะต้องทำความกระจ่างให้เกิดขึ้นในส่วนที่ตัวเองคิดว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะเดียวกันศาลก็ยังไม่ได้วางกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน จึงเป็นหน้าที่ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่จะต้องไป พิสูจน์ทราบว่ายังมีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้นำมาประกอบการพิจารณา
นายภูมิธรรม ยังกล่าวว่า ในส่วนที่ตนเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และมีการขายข้าวได้ราคาก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นอีกมาตรการหนึ่งว่าวิธีคิดตั้งแต่แรกก็มีปัญหา และขณะนี้ทนายความของนางสาวยิ่งลักษณ์ก็ประกาศแล้วว่าจะขอยื่นหลักฐานใหม่ ให้ศาลพิจารณาเพิ่มเติม และตนคิดว่าการใช้มาตรการที่ตนได้ทำไปแล้วในการขายข้าว 10 ปี ก็ยังขายได้กิโลกรัมละ 18 บาท ไม่ใช่เอาไปขายอย่างที่เคยเกิดขึ้นกิโลกรัมละ 5 ถึง 6 บาท ข้อเท็จจริงนี้หากมีการพิสูจน์ทราบมากขึ้น ตนคิดว่าคดีของนางสาวยิ่งลักษณ์ ก็ยังมีโอกาส ที่จะได้ทบทวน แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล เพราะจะเห็นได้ว่า ข้อมูลจากการที่ตนขายข้าว ทำให้มีการคำนวณราคาข้าวเปลี่ยนแปลงไป หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไป เช่นนั้นก็สามารถนำมาหักลบได้หรือไม่ หากศาลเห็นว่าเป็นหลักฐานใหม่ที่ควรค่าแก่การนำมาพิจารณา ก็น่าจะมีการทบทวนเพิ่มมากขึ้น
ส่วนตัวเลขการระบายข้าวทั้งหมดอยู่ที่เท่าไหร่นั้น นายภูมิธรรม กล่าวว่า การระบายข้าวอยู่ที่ราคา ถ้าเป็นราคาอย่างที่ตนขายกิโลกรัมละ 18 บาท ก็ขายได้เป็นหลาย 100,000 ล้านบาท ซึ่งหากสามารถนำมาหักลบกันได้ ก็สามารถชดเชยกันได้อยู่แล้ว
“ตรงนี้อยู่ที่ว่าจะใช้ตัวเลขไหนมาคำนวณราคาข้าว และข้าวที่นำมาขายก็มีหลายเกรดหลายราคา ซึ่งตอนที่เราขายเราเชื่อว่า เป็นข้าวดี แต่ก็ยังมีข้อสงสัยในการขายข้าวก่อนหน้านี้ ที่ขายได้ในราคา 5-6 บาท ต้องเป็นข้าวที่แย่จริงๆหรือเป็นข้าวที่เน่ามาก แต่ตนก็ไปพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าข้าวล็อตสุดท้าย ที่เก็บไว้นานที่สุดแล้ว ยังขายได้กิโลกรัมละ 18 บาท จึงมีข้อสงสัยว่า ข้าวที่ขายไปก่อนหน้านั้นทำไมถึงขายได้ต่ำกว่า 5-6 บาท มันเกิดอะไรขึ้น ต้องมีการพิสูจน์ทราบให้ชัดเจน ตนก็มองว่าเป็นโอกาสที่ศาลจะใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาความเสียหายนี้ แต่ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ตนพูดในมุมมองว่าอาจจะเป็นหลักฐานใหม่ในการพิจารณา ซึ่งก็อาจจะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงตัวราคาด้วย แต่ก็ไม่ได้ไปร่วงละเมิดการตัดสินของศาล”
เมื่อถามว่าคำพิพากษาที่ออกมา ในมิติการเมืองถือเป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยดีหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้เครียดไปถ้าจะดูเป็นมิติการเมือง มันเป็นเรื่องการขายข้าวและการทำให้ถูกกฎหมาย อย่ามองเป็นมิติการเมืองมันไม่ได้ไปทางนั้น
เมื่อถามย้ำว่าข้าวในโครงการรับจำนำข้าวได้ขายไปหมดแล้วใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ยืนยันว่า ล็อตสุดท้ายคือล็อตที่ตนได้ดำเนินการขายไป แต่ล็อตก่อนหน้านี้ ที่ขายในราคา 5-6 บาท ก็ไม่เคยมีใครเคยไปรู้ ว่าข้าวเน่าจริงหรือไม่ เพราะโกดังถูกปิดตาย ซึ่งตนเข้าใจว่าสื่อมวลชนเคยจะขอเข้าไปตรวจสอบ ก็ไม่ได้รับอนุญาต อันนี้ก็อาจจะเป็นข้อที่เป็นประโยชน์ต่อจำเลย เพราะเชื่อว่าข้าวไม่ได้เน่า เพราะแม้แต่ข้าวล็อตสุดท้ายที่ตนขายไปซึ่งผ่านมามากกว่า 10 ปี ยังขายได้ 18 บาท และข้าวที่ขายไปในช่วงปีสองปีแรกก็ไม่มีประจักษ์พยานที่ชัดเจน ในการเข้าไปพิสูจน์ว่าข้าวเน่าจริงหรือไม่
เมื่อถามว่า การต่อสู้คดีของทนายความสามารถเข้าไปขอใบเสร็จ การขายข้าวได้หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เป็นเรื่องของทนายว่าจะสู้ในประเด็นกฎหมายอะไร ก็ต้องหาหลักฐานนั้นมา แต่ถ้าตนเป็นทนายก็จะยังไม่พูดเพราะเป็นข้อต่อสู้ ความละเอียดรอบคอบเพราะต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ.-316.-สำนักข่าวไทย