กรุงเทพฯ 10 พ.ค. -ไทยออยล์ – GPSC ปิดดีลซื้อ-ขายหน่วยผลิตไฟฟ้า ERU มูลค่า 757 ล้านเหรียญ ใช้กากน้ำมันที่เหลือจากกระบวนการกลั่นผลิตกระแสไฟฟ้า 250 เมกะวัตต์
GPSC ลงนามซื้อหน่วยผลิตไฟฟ้า ERU จากไทยออยล์ วงเงิน 757 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลิตไฟฟ้า 250 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 175 ตันต่อชั่วโมง ป้อนโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ของไทยออยล์ โชว์ศักยภาพโครงการตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อม นำกากน้ำมันที่เหลือจากกระบวนการกลั่นมาใช้เป็นเชื้อเพลิงโรงไฟฟ้า สอดรับแผนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านพลังงานของประเทศ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2566
ในวันนี้ (10 พ.ค.) นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาซื้อ-ขายหน่วยผลิตพลังงาน (ERU) ระหว่างบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กับบริษัท เอนเนอยี รีคอฟเวอรี่ ยูนิต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC ซึ่งหน่วย ERU เป็นส่วนหนึ่งของโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ของไทยออยล์
นายศิริ กล่าวว่า การพัฒนาโครงการดังกล่าว นับเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการของภาคอุตสาหกรรม ที่มุ่งเน้นการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน โดยการนำกากน้ำมันซึ่งไม่สามารถนำกลับไปใช้ประโยชน์ในกระบวนการกลั่นได้อีกมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพลังงาน ด้วยการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมทั้งยังเป็นการประสานความร่วมมือขององค์กรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียมและธุรกิจไฟฟ้า เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นายชาญศิลป์ ตรีนุชกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปตท.ประกอบธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีจากต้นน้ำถึงปลายน้ำ โดยการลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม เพื่อสอดรับภารกิจหลักในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานและศักยภาพในการแข่งขันให้กับประเทศในด้านต่าง ๆ ความร่วมมือวันนี้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของการสร้างพลังร่วมอันยิ่งใหญ่ หรือ Synergy ในกลุ่ม ปตท. โดยไทยออยล์แกนนำด้านการกลั่นและปิโตรเคมีกลุ่ม ปตท. และ GPSC แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้า กลุ่ม ปตท.ได้บรรลุข้อตกลงซื้อ – ขาย ERU ส่งผลให้ 2 บริษัทดำเนินกิจกรรมตามธุรกิจหลัก และใช้ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเสริมสร้างความมั่นคงด้านการกลั่นและไฟฟ้า เพื่อความเป็นเลิศของกลุ่ม ปตท. ตลอดจนสนับสนุนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ตามแผนยุทธศาสตร์ไทยแลนด์ 4.0 ของภาครัฐร่วมกัน
นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีที่ผ่านมาที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นไทยออยล์มีมติอนุมัติลงทุนโครงการพลังงานสะอาด หรือ Clean Fuel Project โดยมีวงเงินลงทุนทั้งสิ้นประมาณ 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อขยายกำลังการผลิตของโรงกลั่นปัจจุบันของไทยออยล์ จากกำลังการกลั่นที่ 275,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 400,000 บาร์เรลต่อวัน ประกอบด้วย การสร้างหน่วยผลิตใหม่ต่าง ๆ หลายหน่วย อาทิ หน่วยกลั่นน้ำมันดิบที่ 4, หน่วยแตกตัวน้ำมันหนักให้เป็นน้ำมันเบาโดยใช้ Hydrogen หรือ RHCU และหน่วย ERU ทำหน้าที่หลักในการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของโครงการ CFP
“การจัดทำโครงการ CFP ดังกล่าว บริษัทฯ มีแนวทางที่จะจัดหาผู้สนใจลงทุนในหน่วย ERU แทนการลงทุนจัดสร้างเองทั้งหมด เพื่อเป็นการลดภาระเงินลงทุนในโครงการ CFP และได้พิจารณาเห็นว่า GPSC มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นผู้ลงทุนหน่วย ERU เนื่องจากเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจไฟฟ้า มีความรู้ความชำนาญในการดำเนินการหน่วยผลิตไฟฟ้าและมีความเข้าใจในธุรกิจการกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี” นายอธิคม กล่าว
นายอธิคม กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ GPSC เข้าลงทุนในหน่วย ERU จะทำให้ไทยออยล์ลดภาระการลงทุนในโครงการ CFP ลงประมาณ 15 % ทำให้ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ มีความแข็งแกร่ง และเพิ่มสภาพคล่องเพื่อรองรับการลงทุนอื่น ๆ ในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ไทยออยล์ยังสามารถร่วมกับ GPSC บริหารจัดการและควบคุมดูแลคุณภาพในการดำเนินโครงการ CFP และหน่วย ERU ในด้านความปลอดภัย ความมั่นคงในการผลิต และดำเนินการเกี่ยวกับ Plant Optimization ของโรงกลั่นได้เช่นเดิม อีกด้วย
นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) แกนนำนวัตกรรมธุรกิจไฟฟ้ากลุ่ม ปตท. กล่าวว่า การลงนามสัญญาซื้อขายหน่วยผลิตพลังงาน ERU กับไทยออยล์ในการเข้าซื้อหน่วยผลิตไฟฟ้า ERU มีขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้า 250 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 175 ตันต่อชั่วโมง มูลค่าการลงทุนทั้งสิ้น 757 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 24,113 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับโอนกรรมสิทธิ์หน่วย ERU ได้ในปี 2566 ครั้งนี้ GPSC จะดำเนินการผ่านบริษัทย่อยที่ GPSC ถือหุ้น 100% โดยวางแผนการชำระเงินให้กับไทยออยล์ ตามความคืบหน้าของการพัฒนาโครงการ โดยในช่วง 4 ปีแรก (2562-2565) จะชำระเป็นวงเงินทั้งสิ้น 138 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 20% ของวงเงินลงทุน โดยใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทฯ และปี 2566 บริษัทฯ จะใช้เงินกู้จากสถาบันการเงินเพื่อมาชำระให้กับไทยออยล์ ในส่วนที่เหลือทั้งหมด อีก 80%
นายชวลิต กล่าวว่า การดำเนินงานครั้งนี้นับเป็นการเพิ่มโอกาสการเติบโตในธุรกิจจากเชื้อเพลิงในรูปแบบที่แตกต่างออกไป ซึ่งจะเป็นการต่อยอดธุรกิจได้ในอนาคตในการสร้างเสริมประสบการณ์ของการบริหารจัดการโรงไฟฟ้าที่มีการใช้เชื้อเพลิงที่มีความหลากหลายในการนำกากน้ำมันที่เหลือจากกระบวนการกลั่นมาเป็นเชื้อเพลิง จากความเชี่ยวชาญของ GPSC ในฐานะผู้ประกอบธุรกิจไฟฟ้าและสาธารณูปโภค ซึ่งเป็น Power Flagship ให้กับกลุ่ม ปตท.ที่พร้อมร่วมขับเคลื่อนการเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
“เพื่อลดภาระการลงทุนโครงการ CFP ไทยออยล์จึงจัดหาผู้ลงทุนแทนการลงทุนจัดสร้างเองทั้งหมด ซึ่ง GPSC ได้รับความไว้วางใจในการพัฒนาโครงการ ERU ดังกล่าวนับเป็นอีกโครงการสำคัญของ GPSC และไทยออยล์ ที่จะช่วยยกระดับในเรื่องเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านพลังงาน โดยการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สามารถนำองค์ความรู้ที่ได้รับไปพัฒนาต่อยอดเพื่อการลงทุนในโครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะเกิดขึ้นอีกในอนาคต” นายชวลิต กล่าว.-สำนักข่าวไทย