กรุงเทพฯ 13 ส.ค. – บมจ.ไทยออยล์ ประกาศผลการดำเนินงานในไตรมาส 2 ปี 2568 กำไรสุทธิ 6,476 ล้านบาท จากค่าการกลั่นที่ปรับตัวสูงขึ้น กำไรพิเศษในบริษัทร่วมทุน แม้ขาดทุนจากสตอกน้ำมัน 4,171 ล้านบาท พร้อมปรับกลยุทธ์เสริมแกร่ง
นายบัณฑิต ธรรมประจำจิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า ไตรมาส 2 ปี 2568 กลุ่มไทยออยล์ มีกำไรขั้นต้นจากการผลิตที่ไม่รวมผลการขาดทุนจากสตอกน้ำมัน ปรับตัวสูงขึ้นอยู่ที่ 7.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น จากไตรมาสก่อนหน้าที่ 5.4 เหรียญต่อ/บาร์เรล จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิดกับน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวสูงขึ้น ,กำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด และธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานปรับตัวสูงขึ้น จากอุปทานที่ตึงตัวเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุง ในขณะที่กำไรขั้นต้นของธุรกิจผลิตสารอะโรเมติกส์ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากอุปทานสารเบนซีนที่อยู่ในระดับสูงเนื่องจากการส่งออกจากภูมิภาคเอเชียไปยังสหรัฐอเมริกาไม่คุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ รวมทั้งอุปสงค์สารเบนซีนยังคงถูกจำกัดเนื่องจากผู้ผลิตสารปลายน้ำปิดซ่อมบำรุงประจำปี
อย่างไรก็ตาม ตลาดได้คลายความกังวลในเรื่องอุปทานที่ตึงตัวหลังจากอิสราเอลและอิหร่านบรรลุข้อตกลงหยุดยิงภายในระยะเวลา 12 วัน นับจากวันที่เริ่มมีการโจมตี ทำให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในไตรมาส 2 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ประกอบกับกลุ่มโอเปกพลัสทยอยยกเลิกมาตรการปรับลดกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้มีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ส่งผลให้กลุ่มไทยออยล์รับรู้ผลการขาดทุนจากสตอกน้ำมันจำนวน 4,171 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม กลุ่มไทยออยล์ ได้รับรู้กำไรพิเศษจากการซื้อคืนหุ้นกู้จำนวน 2,522 ล้านบาท และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมของบริษัท PT Chandra Asri Petrochemical Tbk (ซึ่งกลุ่มไทยออยล์ถือหุ้นในสัดส่วนร้อยละ 15) จากการซื้อกิจการของบริษัท Aster Chemical and Energy Pte. Ltd. ในสิงคโปร์ ประมาณ 7,062 ล้านบาท ทำให้กลุ่มไทยออยล์มีกำไรสุทธิ 6,476 ล้านบาท หรือ 2.90 บาทต่อหุ้น ปรับเพิ่มขึ้น 2,972 ล้านบาทจากไตรมาส 1 ปี 2568
“ภาพรวมของธุรกิจโรงกลั่นในไตรมาส 3 และ 4 ปี 2568 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง อุปทานที่ถูกจำกัดเนื่องจากโรงกลั่นในสหรัฐและยุโรปปิดตัวลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่อุปสงค์น้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับที่ดี ธุรกิจสาร อะโรเมติกส์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น โดยอุปสงค์จะปรับตัวสูงขึ้นจากโรงผลิตสารปลายน้ำเปิดใหม่และความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำในช่วงสิ้นปี ในขณะที่ธุรกิจผลิตน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐานคาดการณ์ว่าจะปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน จากอุปทานที่ถูกจำกัดเนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงผลิตน้ำมันหล่อลื้นพื้นฐานกลุ่มที่ 1 และธุรกิจตลาดสารตั้งต้นสำหรับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดคาดการณ์ว่าจะยังคงถูกกดดันจากอุปทานที่ปรับเพิ่มขึ้น รวมถึงความต้องการในภูมิภาคที่มีแนวโน้มลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว” นายบัณฑิต กล่าว
ทั้งนี้ ไทยออยล์ จะยังคงติดตามสถานการณ์ตลาดอย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินการต่าง ๆ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจ และขับเคลื่อนองค์กรให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างมั่นคง. -511-สำนักข่าวไทย