กรุงเทพฯ 17 เม.ย. – เอสเอ็มอีแบงก์พอใจปล่อยสินเชื่อไตรมาสแรกเข้าเป้าหมื่นล้าน ทุ่ม 600 ล้านบาท ยกระดับสู่ดิจิทัลแบงก์กิ้งเพื่อเอสเอ็มอีคนตัวเล็ก
นายพงชาญ สำเภาเงิน รองกรรมการผู้จัดการ รักษาการในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ยอดปล่อยสินเชื่อของธนาคารไตรมาส 1 ปี 2562 รวมกว่า 10,000 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และมั่นใจว่า ภายในปีนี้สามารถปล่อยสินเชื่อได้ถึง 60,000 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารมีผลิตภัณฑ์สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำถูกใจผู้ประกอบการรายย่อย เช่น สินเชื่อเพื่อยกระดับเศรษฐกิจชุมชน ผ่อนนาน 7 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ บุคคลธรรมดา 3 ปีแรก เพียงร้อยละ 0.417 ต่อเดือน ปี 4-7 อัตรา MLR ต่อปี วงเงินกู้สูงสุด 2 ล้านบาท และหากเป็นนิติบุคคล อัตราดอกเบี้ยถูกลงไปอีก 3 ปีแรกเพียงร้อยละ 0.25 ต่อเดือน ปี 4-7 อัตรา MLR ต่อปี สามารถใช้บรรษัทประกันสินเชื่อขนาดย่อม (บสย.) ค้ำประกันได้ ควบคู่กระบวนการให้บริการเข้าถึงง่าย สะดวก สามารถยื่นกู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่ ผ่านแอพพลิเคชัน SME D Bank และหน่วยรถม้าเติมทุน ส่งเสริม SMEsไทย ฉับไวไปถึงถิ่น ซึ่งเป็นบริการเคลื่อนที่พบผู้ประกอบการถึงสถานประกอบการ สามารถพิจารณาอนุมัติสินเชื่อได้ในเวลา 7 วัน โดยไม่ต้องใช้หลักทรัพย์ค้ำประกัน
นายพงชาญ กล่าวต่อว่า ธนาคารมุ่งยกระดับการทำงานสู่การเป็นดิจิทัลแบงก์กิ้งเพื่อเอสเอ็มอีคนตัวเล็กเต็มรูปแบบ โดยจัดงบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท สร้างระบบ core banking ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญจากประเทศจีนมาพัฒนาระบบ ซึ่งจะใช้อินเทอร์เน็ตเชื่อมโยงการทำธุรกรรมเบ็ดเสร็จครบวงจร โดยเริ่มพัฒนาระบบตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์แบบภายใน 2 ปี
“การยกระดับธนาคารสู่ดิจิทัลแบงก์กิ้งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายย่อยนอกระบบกว่า 3 ล้านราย สามารถเข้าถึงบริการ 3 เติมของ SME D Bank ได้ทั่วถึงและสะดวกยิ่งขึ้น ช่วยให้เอสเอ็มอีคนตัวเล็กเพิ่มขีดความสามารถ ลดความเหลื่อมล้ำ ขจัดความยากจน นำสังคมไทยอยู่ดีมีสุข เติบโตอย่างมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน” นายพงชาญ กล่าว
นอกจากนี้ ธนาคารเร่งบริหารจัดการหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) โดยให้บริษัทติดตามหนี้มืออาชีพ มาทำหน้าที่ติดตามหนี้ในรายลูกค้าที่ไม่ให้ความร่วมมือกับธนาคาร และเป็นหนี้เสียมายาวนาน โดยใช้วิธีแบ่งผลกำไรช่วยให้ธนาคารลดค่าใช้จ่ายในการติดตามหนี้ รวมถึงทยอยขายทอดตลาดหนี้ด้อยคุณภาพ ซึ่งหยุดดำเนินกิจการ เลิกกิจการ ประวิงเวลาการชำระหนี้ หรือไม่ให้ความร่วมมือแก้ไขหนี้ ส่วนมากเป็นรายใหญ่ มีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง เช่น โรงสี สนามกอล์ฟ เป็นต้น ซึ่งการขายหนี้เสียออกไปจะก่อประโยชน์ต่อธนาคารสามารถระดมเงินทุน เพื่อนำมาปล่อยสินเชื่อคุณภาพดีให้แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อไปได้ รวมถึงช่วยลดหนี้เสีย ซึ่งภายในปีนี้คาดว่าจะเหลือไม่เกินร้อยละ 10 ช่วยให้สถานะทางการเงินของธนาคารมั่นคงเข้มแข็งยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งธนาคารเตรียมแผนออกพันธบัตรต่อเนื่องปี 2562 เพื่อระดมเงินฝากมาปล่อยสินเชื่อ โดยจะออกครั้งละ 5,000 ล้านบาท จำนวน 4 ครั้ง รวมเป็นวงเงิน 20,000 ล้านบาท เชื่อว่าจะได้รับความสนใจจากนักลงทุน เนื่องจากผลตอบแทนอยู่ในระดับสูง ประกอบกับธนาคารได้รับจัดอับดับเรตติ้งองค์กรจากบริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระดับ AAA ถือเป็นระดับสูงสุดเท่ากับเรตติ้งของรัฐบาลไทย.-สำนักข่าวไทย