4 เม.ย.-รัฐบาลพยายามกระตุ้นการทำงานและแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะความเดือดร้อนที่กำลังเกิดขึ้นหลายเรื่องทั้งฝุ่นในภาคเหนือ ปัญหาน้ำ รวมไปถึงราคาปาล์มตกต่ำ ล่าสุดเตรียมประกาศใช้น้ำมันไบโอดีเซลบี 10 สิ้นเดือนนี้
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ประชุมร่วมผู้บริหารกระทรวงพาณิชย์ โดยได้เน้นย้ำขอให้การทำงานในช่วง 2-3 เดือนจากนี้จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายนหรือต้นเดือนกรกฎาคม ขอให้เดินหน้าทำงานอย่างเต็มที่ ช่วยกันทำงานให้หนัก และจะต้องไม่เกิดเกียร์ว่าง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ และช่วยพยุงเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของประชาชน ต้องดูแลให้อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสม ไม่มีการฉวยโอกาสและราคาสินค้าเกษตรจะต้องดูแลให้อยู่ในระดับที่เกษตรกรไม่ได้รับผลกระทบ จะต้องเร่งผลักดันการส่งออกไปยังตลาดใหม่อย่างเต็มที่ หลังจากที่ขณะนี้หลายหน่วยงานคาดไทยจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกและปรับลดตัวเลขประมาณการ การขยายตัวการส่งออกเหลือประมาณร้อยละ 3 ในขณะที่เป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้คือร้อยละ 8
ทั้งนี้ ในระหว่างที่เศรษฐกิจโลกยังคงมีความผันผวนจากสถานการณ์สงครามการค้า การพยุงเศรษฐกิจในประเทศถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อที่จะรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการใช้การค้าภาคบริการทดแทนการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า โดยในส่วนของสินค้าเกษตรที่ตกต่ำและเกษตรกรเดือดร้อนก็คือ ราคาปาล์มที่กำลังออกสู่ท้องตลาด ราคาอยู่ที่ประมาณ 2.20-2.40 บาท/กก. ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากตลาดโลกที่สหภาพยุโรปมีมาตรการกีดกันการใช้ปาล์มทั้งเพื่อบริโภคและการใช้เพื่อการทำน้ำมันรถยนต์ ทำให้ราคาดิ่งลงอย่างหนัก ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ หรือซีพีโอไม่ได้
ในขณะที่ปริมาณปาล์มเพิ่มขึ้น เพราะเดิมคาดกันว่าจะส่งออกได้ และไทยจะใช้น้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มขึ้น ดังนั้น ผลผลิตซีพีโอในประเทศก็เพิ่มขึ้นตลอดปี ในปี 2560 ประเทศไทยผลิตซีพีโออยู่ที่ประมาณ 2 ล้านตัน ปี 2561 ผลิตอยู่ที่ประมาณ 2.5 ล้านตัน และปีนี้คาดจะมีซีพีโอถึง 3 ล้านตัน ก็เป็นเรื่องซัพพลายด์-ดีมานด์ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ เมื่อปริมาณเพิ่มขึ้นแต่ใช้ไม่หมด ราคาก็ลดลง ทำให้สตอก ซีพีโอขณะนี้เพิ่มสูงขึ้นถึง 4.6 แสนตันต่อปี โดยปกติแล้วคนไทยจะกินหรือใช้น้ำมันปาล์ม มาทอด มาผัดอาหาร และใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม 1 ล้านตันต่อปี และใช้เพื่อผลิตน้ำมันไบโอดีเซลสำหรับรถยนต์ทั่วไป คือบี 7 ประมาณ 1.4 ล้านตัน รวมแล้วก็จะใช้ 2.4 ล้านตัน หากไม่บริหารจัดการ ซีพีโอจะเหลือปริมาณสูงถึง 2.2 ล้านตัน ที่ผ่านมารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหา โดยให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) นำมาผลิตไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง 1.6 แสนตัน ซึ่งขณะนี้กำลังดำเนินการอยู่ โดยใช้ไปแล้ว 6 หมื่นตัน และอยู่ในระหว่างส่งมอบอีก 1 แสนตัน และเพื่อจะเร่งการใช้และดูดซับปาล์มโดยเร็ว
มีข่าวดีสำหรับเกษตรกร โดยนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพงงาน ออกมาเปิดเผยว่า ในส่วน 1 แสนตันนี้ ทาง กฟผ.จะเช่าคลังที่ จ.สุราษฎร์ธานี แล้วให้โรงสกัดคู่สัญญา มาส่งมอบทันทีเริ่มจากวันจันทร์ที่จะถึงนี้ จากเดิมที่โรงสกัดจะต้องทยอยมาส่งมอบที่โรงไฟฟ้าบางปะกง วันละ1-2 พันตัน/วัน ต้องใช้เวลานานอีก 2 เดือน ถึงจะหมด 1 แสนตันที่เหลือ ดังนั้น เมื่อดูดซับมาเก็บไว้ที่คลังสุราษฎร์ธานีก็ทำให้ดูดซับได้ทันที 1 แสนตัน รวมถึงรัฐบาล เร่งส่งเสริมการใช้น้ำมันไบโอดีเซล
ล่าสุด สมาคมผู้ผลิตยานยนต์ญี่ปุ่น หรือ JAMA แจ้งว่ารถเครื่องยนต์ดีเซลสามารถใช้บี 10 ได้แล้ว แต่โรงานบี 100 ตั้งปรับกระบวนการผลิตให้ลดค่า โมโนกลีเซอไรด์ลดลงจาก 0.7 ไมโครกรัม เหลือ 0.4 ไมโครกรัม ซึ่งกระทรวงพลังงานจะเร่งประกาศปรับมาตรฐานน้ำมันจากบี 7 เป็น บี 10 ปลายเดือนเมษายนนี้ (น้ำมันบี 20+บี10) รวมทั้งเร่งการใช้บี 20 ซึ่งบางค่ายรถยนต์กระบะเตรียมประกาศว่าพร้อมใช้ พร้อมกับรถบรรทุกขนาดใหญ่
ขณะที่กรมสรรพสามิตก็จะเร่งประกาศลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถที่ใช้บี 20 ทั้งรถยนต์กระบะและรถยนต์กระบะ 4 ประตู โดยลดลงร้อยละ 0.5-1 จากปัจจุบันที่จัดเก็บที่ร้อยละ 2.5-10 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563-31 ธันวาคม 2565 เป็นเวลา 3 ปี ดังนั้น หากใช้บี 10 และบี 20 เพิ่มมากขึ้น ก็จะดูดซับซีพีโอได้อีก 1.2 ล้านตันต่อปี ทำให้การใช้ซีพีโอด้านการผลิตเชื้อเพลิงจะสูงถึง 2.5 ล้านตันต่อปี ในขณะที่ ผู้ผลิตโรงงานไบโอดีเซล ก็สนับสนุนแนวคิดการประกาศใช้บี 10 จะช่วยทำให้ราคาปาล์มพุ่งสูงขึ้นอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 3 บาท/กก.-สำนักข่าวไทย