กรุงเทพฯ 25 มี.ค. – เอกชนหวังการเมืองนิ่งหลังเลือกตั้ง และขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ ขณะที่ กฟผ.หวังแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้ค้าแอลเอ็นจี ส่วน รมว.พลังงานต้องการเห็นการสานต่อประมูลแหล่งปิโตรเลียม
นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า หากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่สิ่งที่ต้องการเห็น คือ ความต่อเนื่องของการประมูลแหล่งปิโตรเลียมในประเทศรอบใหม่ที่ขณะนี้กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติกำลังเตรียมแผนงาน หากประมูลได้ก็จะเป็นประโยชน์ต่อค่าไฟฟ้าของประชาชน เช่นเดียวกับการประมูลระบบแบ่งปันผลผลิต หรือพีเอสซี ของแหล่งบงกช-เอราวัณ ทำให้ได้ราคาก๊าซฯ ต่ำและค่าไฟฟ้าถูกลง ส่วนช่วงหาเสียงที่มีบางกลุ่มระบุจะมาลดราคาพลังงานด้วยกลไกแทรกแซงต่าง ๆ นั้น ก็ไม่ขอวิจารณ์ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง คือ การสร้างความมั่นคงและประชาชนได้ประโยชน์ ส่วนการประมูลโรงไฟฟ้าภาคเอกชนหรือไอพีพี จะเป็นอย่างไรนั้น ทุกอย่างกำหนดไว้ในแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยาวอยู่แล้ว
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สิ่งที่ภาคเอกชนต้องการเห็นจากรัฐบาลใหม่ คือ การให้ความสำคัญต่อนโยบายเศรษฐกิจ เพราะเชื่อว่าประเทศไทยยังเดินหน้าไปด้วยเรื่องธุรกิจ เพราะเมื่อธุรกิจเติบโตจะนำไปสู่รากฐานของประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งบ้านปูในฐานะบริษัทด้านพลังงานยังคงมองว่าการที่ธุรกิจเติบโตขึ้นย่อมมีการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนนโยบายด้านพลังงาน เมื่อมีแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศปี 2561-2580 (พีดีพี 2018) เป็นกรอบชัดเจนอยู่แล้วสามารถเดินไปข้างหน้าได้ตามแผน ดังนั้น กระทรวงพลังงานไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดใดที่เข้ามากำกับดูแลจะมีกรอบแผนพลังงานสามารถนำไปปฏิบัติใช้ได้จริง จึงเชื่อว่านโยบายด้านพลังงานไม่น่าได้รับผลกระทบอะไร สำหรับโรงไฟฟ้าถ่านหินตามแผนพีดีพี 2018 ที่จะบรรจุไว้ในช่วงท้ายแผนนั้น บ้านปูไม่ได้เน้นการดำเนินธุรกิจเพียงโรงไฟฟ้าถ่านหินเท่านั้น แต่ยังมีการขยายไปยังธุรกิจก๊าซและพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้น
“ในฐานะภาคเอกชนไม่กังวลความล่าช้าของการจัดตั้งรัฐบราลใหม่ เพราะไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลใหม่เข้ามาก็กรอบแผนไว้แล้ว ที่สำคัญ คือ เรื่องเทคโนโลยี นับว่าเป็นความท้าทาย รวมทั้งด้านพลังงานสะอาด ห่วงโซ่อุปทานที่จะสั้นลง ต้นทุนถูกลง และดิจิทัล ที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้นด้วย” นางสมฤดี กล่าว
นายพัฒนา แสงศรีโรจน์ รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะโฆษก กฟผ. กล่าวว่า ขณะนี้ กฟผ.รอว่า ครม.จะเห็นชอบการแก้ไข พ.ร.บ.การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยเมื่อใด หาก ครม.ชุดนี้ยังไม่พิจารณาก็ต้องรอ ครม.ชุดใหม่หลังการเลือกตั้งเร่งพิจารณา โดยใจความสำคัญ ก็คือการเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้ กฟผ.สามารถซื้อขายพลังงานและเชื้อเพลิงได้ จากเดิมมีหน้าที่เพียงการผลิตไฟฟ้าและดูแลระบบส่งไฟฟ้า เพราะจะทำให้ กฟผ.ดำเนินการตามนโยบายของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่ให้ กฟผ.นำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี ) ทั้งจากในส่วนของสถานีรับจ่ายแอลเอ็นจีมาบตาพุด 1.5 ล้านตัน/ปี และการนำเข้าในส่วนของคลังลอยน้ำ (เอฟเอสอาร์ยู ) 5 ล้านตัน/ปี ซึ่งเป้าหมาย คือ จะทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าของประชาชนถูกที่สุด ขณะเดียวกันสิ่งที่ กฟผ.เสนอรัฐบาล คือ การนำเข้าแอลเอ็นจีนั้น ไม่ควรนำมาใช้เพื่อโรงไฟฟ้าของ กฟผ.เพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ กฟผ.จำหน่ายแก่ผู้ใช้ไฟฟ้ารายอื่นได้ด้วย เพื่อลดปัญหา กรณีความไม่แน่นอนของการใช้เพลิง เพราะหาก กฟผ.ใช้แอลเอ็นจีไม่หมดจะได้ไม่เป็นภาระเรื่องต้นทุนก๊าซแต่อย่างใด โดย กฟผ.ไม่ได้มีเป้าหมายในการการค้าแอลเอ็นจีเพื่อกำไร แต่เพื่อให้เกิดการแข่งขันตามนโยบายรัฐบาล โดย กพช.กำหนดชัดว่าการประมูลผู้จำหน่ายแอลเอ็นจี แก่ กฟผ.ราคาต้องต่ำกว่า การนำเข้าของ ปตท. ซึ่งจะเริ่มประมูลครั้งแรกเดือนเมษายนนี้ 0.8-1.5 ล้านตัน/ปี
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เมื่อเลือกตั้งแล้ว ทางเอกชนก็คาดหวังการเมืองหลังเลือกตั้งจะสงบเรียบร้อย ขณะที่การเดินหน้าด้านเศรษฐกิจก็เป็นหน้าที่ของนักธุรกิจที่ขับเคลื่อนตามกลไกตลาด ส่วนนโยบายด้านพลังงานนั้น สิ่งที่ขอให้คำนึงถึง คือ เมื่อไทยต้องนำเข้าพลังงาน ดังนั้น ราคาต้องเคลื่อนไหวตามตลาดโลก ราคาก็ควรเป็นไปตามกลไกตลาด. -สำนักข่าวไทย
