กรุงเทพฯ 27 ก.พ. – คลังมั่นใจแผนควบรวมทหารไทย-ธนชาตสำเร็จ เพิ่มความแข็งแกร่ง ยืนยันลูกค้า-พนักงานไม่ได้รับผลกระทบ ยันดีลจบปีนี้ และเปลี่ยนชื่อแบงก์ใหม่
ธนาคารทหารไทย (TMB) และธนาคารธนชาต (TBANK) เปิดแถลงข่าวถึงการการลงนามในบันทึกข้อตกลงแบบไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่าง ING Group N.V. //ธนาคารธนชาต //บมจ.ทุนธนชาต //ธนาคารทหารไทย และ The Bank of Nova Scotia เพื่อกำหนดกรอบความเข้าใจและหลักการสำหรับการเจรจาร่วมกันต่อไปเกี่ยวกับการเข้าทำธุรกรรมต่าง ๆ เมื่อการรวมกิจการเสร็จสมบูรณ์ ทาง ING Group และ บมจ.ทุนธนชาต จะเป็นผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนมากกว่าร้อยละ 20 ขณะที่กระทรวงการคลังจะยังเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่
นายจุมพล ริมสาคร รองปลัดกระทรวงการคลัง มั่นใจการควบรวมครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และจะเกิดประโยชน์กับธนาคารทั้ง 2 แห่งและระบบสถาบันการเงิน เพราะจะทำให้มีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกระทรวงการคลังที่ต้องการให้ธนาคารมีขนาดใหญ่ขึ้นและแข่งขันได้ โดยกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่มั่นใจว่าการควบรวมจะทำให้ธนาคารดีขึ้นกว่าปัจจุบัน
ด้านนายประพันธ์ อนุพงษ์องอาจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารธนชาต ยืนยันว่า หลังการควบรวม ธนาคารทั้ง 2 แห่งจะไม่มีการลดจำนวนพนักงาน แต่จะปรับเปลี่ยนตำแหน่งการทำงานของพนักงานที่มีความซ้ำซ้อนกัน มาจัดสรรให้มีความเหมาะสมมากขึ้น และจะฝึกทักษะการทำงานของพนักงานให้มีความสามารถและเชี่ยวชาญด้านดิจิทัลมากขึ้น โดยปัจจุบันธนาคารธนชาตมีพนักงาน 12,000 คน และธนาคารทหารไทยกว่า 8,000 คน ซึ่งตามปกติแต่ละปีจะมีพนักงานลาออกและเกษียณอายุของ 2 ธนาคารประมาณ 2,000 คนต่อปี ดังนั้น ระดับอัตราพนักงานที่เหมาะสมจะอยู่ในระดับ 15,000 คนต่อปี ส่วนจำนวนสาขาของธนาคารธนชาตมี 512 สาขา และธนาคารทหารไทยมี 400 สาขา อาจจะรวมสาขาที่ซ้ำซ้อนเข้าด้วยกัน พร้อมปรับเปลี่ยนสถานที่ตั้ง ขนาด รูปแบบรองรับลูกค้าให้ตรงจุดมากขึ้น
ส่วนนายปิตติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย กล่าวว่า ในช่วงการควบรวมการดำเนินการ ทั้ง 2 ธนาคารจะให้บริการโดยใช้ชื่อเดิมต่อไป ขณะที่ลูกค้าของทั้ง 2 แห่งยังสามารถใช้บริการได้ตามปกติ โดยยืนยันลูกค้าจะไม่ได้รับผลกระทบจากการควบรวมครั้งนี้แต่อย่างใด
ด้านนายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ทุนธนชาต กล่าวว่า ภายหลังการควบรวมกิจการจะมีทรัพย์สินรวม 1.9 ล้านล้านบาท ฐานลูกค้ารวมกว่า 10 ล้านคน ซึ่งการควบรวมครั้งนี้ได้การสนับสนุนจากผู้ถือหุ้นของทั้ง 2 ธนาคาร ซึ่งการรวมกิจการกันจะทำให้ธนาคารมีจุดแข็งเพิ่มขึ้น โดยธนาคารธนชาตมีจุดแข็งด้านสินเชื่อรถยนต์ ส่วนธนาคารทหารไทยมีจุดแข็งเรื่องการระดมเงินฝากที่มีต้นทุนต่ำ โดยระหว่างการดำเนินการควบรวมจะมีการตรวจสอบสถานะการเงิน และเตรียมเจรจาการทำสัญญาหลัก รวมถึงการปรับโครงสร้างของธนาคารที่รวมไปถึงการเพิ่มทุน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และหลังจากนั้นเมื่อควบรวมกิจการแล้วเสร็จจะมีการเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารใหม่ (Rebranding) ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการพิจารณาอีกระยะหนึ่ง
สำหรับการเพิ่มทุนของธนาคารนั้น ภายหลังจากได้โครงสร้างผู้ถือหุ้นอย่างเป็นทางการจะมีการประชุมผู้ถือหุ้นครั้งพิเศษภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า เพื่ออนุมัติการเพิ่มทุน โดยเบื้องต้นธนาคารทหารไทยจะเป็นผู้หาเงินทุนจำนวน 130,000-140,000 ล้านบาท โดยร้อยละ 70 มาจากการเพิ่มทุน แบ่งเป็น 50,000-55,000 ล้านบาท ออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับ บมจ.ทุนธนชาต และ The Bank of Nova Scotia โดยหุ้นเพิ่มทุนธนาคารทหารไทย มีมูลค่าเท่ากับ 1 ต่อ 1 เท่า และอีก 40,000-45,000 ล้านบาท ทหารไทยจะเสนอขายหุ้นให้กับผู้ถือหุ้นปัจจุบัน.-สำนักข่าวไทย