คลังระบุเศรษฐกิจก.ค.59 เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวชัดเจนขึ้น

กระทรวงการคลัง 31 ส.ค.-กระทรวงการคลัง เปิดเผยภาวะเศรษฐกิจเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวผ่าน ยอดจดทะเบียนรถจักรยานยนต์ใหม่เพิ่มขึ้น ราคาสินค้าเริ่มสูงขึ้น รายได้เกษตรกรขยายตัว รายได้สุทธิรัฐบาลขยายตัว แม้การลงทุนภาคเอกชนยังมีสัญญาณชะลอตัว


นายกฤษฎา จีนะวิจารณะ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ว่า ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปโดยการบริโภคภาคเอกชนปรับตัวดีขึ้น สะท้อนจาก ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 7.4 ต่อปี ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และเขตภูมิภาค สะท้อนกำลังซื้อของผู้บริโภคที่มีสัญญาณฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มราคาผลผลิตสินค้าเกษตรที่เริ่มสูงขึ้น เช่นเดียวกับปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งในเดือนกรกฎาคม 2559 ขยายตัวที่ร้อยละ 9.6 ต่อปี สอดคล้องกับรายได้เกษตรกรที่แท้จริงในเดือนกรกฎาคม 2559 ที่ขยายตัวที่ร้อยละ 17.7 ต่อปี สำหรับยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ชะลอการขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.9 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ขยายตัวร้อยละ 6.5 ต่อปี จากการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากฐานการใช้จ่ายภายในประเทศที่ขยายตัวชะลอลงและการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากการนำเข้าที่กลับมาหดตัว

ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ยังมีสัญญาณชะลอตัว โดยการลงทุนในหมวดก่อสร้าง สะท้อนจาก ภาษีการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์หดตัวร้อยละ 20.8 และปริมาณจำหน่ายปูนซีเมนต์ภายในประเทศหดตัวร้อยละ 4.0 ต่อปี สำหรับการลงทุนในหมวดเครื่องมือเครื่องจักร สะท้อนจากปริมาณนำเข้าสินค้าทุนยังหดตัวอยู่ที่ร้อยละ 0.7 ต่อปี และเมื่อหักสินค้าพิเศษ (เครื่องบิน เรือ และรถไฟ) พบว่า หดตัวเช่นกันที่ร้อยละ 5.0 ต่อปี


สถานการณ์ด้านการคลังในเดือนกรฎาคม 2559 พบว่า รายได้สุทธิของรัฐบาล (หลังหักจัดสรรให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรืออปท. ) ขยายตัวในระดับสูง โดยรัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้สุทธิ (หลังหักจัดสรรให้ อปท.) ได้จำนวน 174,000 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 22.2 เนื่องจากการจัดเก็บรายได้ของส่วนราชการอื่นที่ขยายตัวได้ในระดับสูง โดยเฉพาะการนำส่งค่าภาคหลวงปิโตรเลียม  การประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 900 MHz (4G) และการประมูลใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อประกอบกิจการโทรทัศน์ในระบบดิจิทัล งวดที่ 3 เป็นสำคัญ สำหรับการเบิกจ่ายงบประมาณรวมเบิกจ่ายได้จำนวน 184,200 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 17.0 ต่อปี จากการเบิกจ่ายจากงบประมาณปีปัจจุบันที่เบิกจ่ายได้จำนวน 176,100 ล้านบาท หดตัวร้อยละ 15.6 ต่อปี เนื่องจากการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุนที่หดตัวลง ขณะที่การเบิกจ่ายจากงบประมาณปีก่อนเบิกจ่ายได้จำนวน 8,100 ล้านบาท ทำให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุลจำนวน 32,100 ล้านบาท

ด้านอุปสงค์จากต่างประเทศผ่านการส่งออกสินค้าในเดือนกรกฎาคม 2559 หดตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ต่อปี เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวอย่างเปราะบาง โดยสินค้าส่งออกที่หดตัว เป็นผลจากการหดตัวในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร เช่น สินค้าในกลุ่มข้าว ยางพารา ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และในหมวดอุตสาหกรรม เช่น กลุ่มยานยนต์และส่วนประกอบ เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ขณะที่เครื่องอิเล็กทรอนิกส์สามารถขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า อย่างไรก็ตามเครื่องชี้เศรษฐกิจด้านอุปทานในเดือนกรกฎาคม 2559 ปรับตัวดีขึ้นจากภาคเกษตรที่กลับมาขยายตัวเป็นบวกและภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากดัชนีผลผลิตสินค้าเกษตรที่กลับมาขยายตัวที่ร้อยละ 2.3 ต่อปี และขยายตัวร้อยละ 3.7 ต่อเดือนหลังหักผลทางฤดูกาล โดยได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของหมวดพืชผลสำคัญ หมวดปศุสัตว์ และหมวดประมง เป็นสำคัญ นอกจากนี้ ดัชนีราคาสินค้าเกษตรขยายตัวได้ดีเช่นกันโดยขยายตัวต่อเนื่องติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 มาอยู่ที่ร้อยละ 16.2 ต่อปี

ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยขยายตัวร้อยละ 10.8 ต่อปี และขยายตัวร้อยละ 6.2 ต่อเดือนหลังหักผลทางฤดูกาล โดยเป็นนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวได้ดีจาก จีน กลุ่มประเทศ CLMV อินเดีย เกาหลีใต้ และสหรัฐอเมริกา เป็นหลัก สำหรับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนกรกฎาคม 2559 หดตัวร้อยละ 5.1 ต่อปี จากการผลิตในหมวดยานยนต์ ผลิตภัณฑ์ยางและพลาสติก เครื่องแต่งกาย และเคมีภัณฑ์ เป็นสำคัญ สอดคล้องกับการส่งออกในหมวดเดียวกันที่หดตัว แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานที่อยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 0.1 และ 0.8 ต่อปี ตามลำดับ สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำเช่นกันที่ร้อยละ 1.0 ของกำลังแรงงานรวม ขณะที่สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2559 อยู่ที่ระดับร้อยละ 42.8 ถือว่ายังอยู่ภายใต้กรอบความยั่งยืนทางการคลังที่ตั้งไว้ไม่เกินร้อยละ 60.0 สำหรับเสถียรภาพภายนอกประเทศยังอยู่ในระดับมั่นคงและสามารถรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกสะท้อนจากทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2559 อยู่ที่ 180,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 3.3 เท่าเมื่อเทียบกับหนี้ต่างประเทศระยะสั้น-สำนักข่าวไทย


ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สำนักสงฆ์หูตาทิพย์

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์”

ขุดพบ 12 ศพ ในสำนักสงฆ์ลัทธิประหลาด “สอนหู-ตาทิพย์” พระอ้างใช้สอนวิปัสสนากรรมฐาน เบื้องต้นอายัดไว้พิสูจน์ดีเอ็นเอ พร้อมเอาผิดหัวหน้าสำนักสงฆ์ ฐานนำศพเก็บไว้ในสถานที่ที่ไม่ใช่สุสานและฌาปนสถาน

“สนธิ” ยื่นถอด “ตั้ม-เดชา” ออกจากทนาย

“สนธิ ลิ้มทองกุล” หอบหลักฐานบุกสภาทนายความ ถอดทนายตั้ม-ทนายเดชา ออกจากทนาย ระบุ ได้รับมอบอำนาจจาก “มาดามอ้อย” แล้ว เดินหน้าเอาผิด ทนายตั้มแบบสุดซอย ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อผู้รู้กฎหมายอีก

รัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มยูเครน

ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย แถลงยืนยันว่ารัสเซียยิงขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นใหม่ถล่มภาคตะวันออกยูเครนเมื่อวานนี้ ตอบโต้ที่ยูเครนใช้ขีปนาวุธที่ได้รับมอบจากสหรัฐและอังกฤษ

ข่าวแนะนำ

“เหนือ-อีสาน-กลาง” อากาศเย็น ภาคใต้ฝนตกหนัก

กรมอุตุฯ รายงานภาคเหนือ อีสาน และภาคกลาง อากาศเย็นในตอนเช้า มีฝนเล็กน้อยบางแห่ง ส่วนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลาก

โค้งสุดท้าย ศึกสองนารีชิงเก้าอี้ นายก อบจ.นครฯ

เหลือไม่ถึง 2 วันแล้ว ที่ชาวนครศรีธรรมราชจะได้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.นครฯ ศึกนี้เป็นการสู้กันเองของพรรคร่วมรัฐบาล ฝ่ายหนึ่งต้องการรักษาฐานที่มั่นไว้ให้ได้ อีกฝ่ายต้องการเจาะฐานให้แตก เพื่อหวังครองที่นั่งการเมืองระดับชาติในสมัยหน้า

ร้อนระอุโค้งสุดท้าย ศึกชิงเก้าอี้ นายก อบจ.อุดรธานี

การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุดรธานี ครั้งนี้ดุเดือดเกินคาด ผู้สมัครจาก 2 พรรคใหญ่ลงชิงชัย ต่างเร่งเครื่องเต็มที่ในโค้งสุดท้าย การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 24 พ.ย.นี้ ใครจะเป็นผู้คว้าชัยชนะและสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้จังหวัดอุดรธานี ไปติดตามจากรายงาน

ความเห็นนักวิชาการ คดีทักษิณ

ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับคำร้อง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคเพื่อไทย ร่วมกันกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครอง ขณะที่นักวิชาการชี้ว่าไม่ได้พลิกไปจากความคาดหมาย และผลจากคดีนี้ ไม่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนทางการเมือง แต่ก็ยังมีจุดเสี่ยงที่ต้องระวัง