เศรษฐกิจจีนฟุบ ส่งผลพ่วงมา เศรษฐกิจไทย

กทม. 23 ม.ค.- เศรษฐกิจจีนชะลอตัว การเจรจาสงครามการค้าระหว่างจีน สหรัฐที่เลื่อนออกไป ล้วนมีผลต่อเศรษฐกิจไทยไม่ใช่เรื่องไกลตัว เพราะภาคเศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก แต่อย่างน้อยการรู้กรอบการเลือกตั้งที่ชัดเจนขึ้นก็สร้างความเชื่อมั่นการลงทุนสะท้อนมาที่ตลาดหุ้นเป็นอันดับแรก


เศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐ และจีน ทำให้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดการณ์ GDP ของโลกเติบโตชะลอลง ปีนี้ โตที่ร้อยละ 3.5 ในปี 2562 และปีหน้าโตร้อยละ 3.6 ลดลงจากคาดการณ์เดิมร้อยละ 0.2 และ 0.1 ตามลำดับ มีผลทำให้ตลาดกังวลเกี่ยวกับการใช้น้ำมันจะชะลอตัวลง และทำให้ราคาน้ำมันดิบปิดตลาดเมื่อคืนนี้ลดลง ซึ่งก็เป็นแง่ดีของไทยเพราะราคาตั้งแต่ปีใหม่ ขึ้นมาหลายครั้งต่อเนื่อง อย่างน้อยๆราคาขายปลีกบ้านเราจะได้ชะลอการขยับขึ้นบ้าง


อีกปัจจัยที่ทั่วโลกจับตามองคือการเมืองในสหรัฐที่ยังเกิดปัญหาการปิดทำการหรือ GOVERN SHUTDOWN อย่างยาวนาน ก็มีผลต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงและเมื่อเทียบกับบาทของไทยก็แข็งค่าไปโดยปริยาย สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เงินบาทของไทยติดอันดับสกุลเงินที่แข็งค่าที่สุดในโลกในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา พุ่งขึ้นมากกว่า 5% ขณะที่รูเปียห์ของอินโดนีเซียตามมาเป็นที่ 2 โดยปรับตัวขึ้นเกือบ 2% ในขณะที่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอลง สองปัจจัยนี้ จะกระทบมาถึงการส่งออกของบ้านเรา ซึ่งเป็นส่วนหลักของการสร้างรายได้แก่ ประเทศ ประชาชน 

                       

นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายยุทธศาสตร์และความสัมพันธ์องค์กร ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางเดียวกับค่าเงินภูมิภาค และเมื่อมองไปข้างหน้า ภาวะที่ปัจจัยภายนอกยังมีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของค่าเงิน ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี อาทิ การทำ forward และ option เพื่อประกันความเสี่ยง การฝากเงินเข้าบัญชีเงินตราต่างประเทศ (FCD) หรือการเลือกกำหนดราคาสินค้า (invoice) ในสกุลเงินท้องถิ่นแทนการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐ เป็นหลัก และช่วงนี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ผู้ประกอบการไทยจะได้ใช้ประโยชน์ในการนำเข้าเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อยกระดับผลิตภาพ (productivity) ลดต้นทุน สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้า ซึ่งจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของสินค้าไทย และจะช่วยให้ผู้ประกอบการไทยมีอำนาจในการกำหนดราคา (pricing power) ได้ดีขึ้น


เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ของไทยแถลงข่าว ผลกระทบทั้งสงครามการค้า เงินบาทแข็งค่า ทำให้การส่งออกของไทยในเดือนธันวาคม 2561 ลดลง 1.72% และจะมีผลต่อการส่งออกในปีนี้ ตลาดยังระบุว่าการแข็งค่าของบาท ยังน่าจะเกิดจากการที่ไทยมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศสูงถึง 2.07 แสนล้านดอลลาร์ และมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด

ซึ่งหลายฝ่ายประเมินว่าจะกดดันเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับต่ำ และอาจนำไปสู่การชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ที่เดิมมีการคาดกันว่าอาจจะปรับขึ้นไม่ต่ำกว่า 2 ครั้งในปีนี้ หลายฝ่ายเริ่มมองว่า อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งก็เป็นไปได้  ความหมายเหล่านี้ คือ ถ้าดอกเบี้ยชะลอปรับขึ้น ก็เป็นผลดีต่อค่าใช่จ่ายเรื่องเงินกู้ต่างๆ เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ จะได้ไม่ปรับขึ้นราคา และหากราคาน้ำมันไม่ขยับขึ้น เงินบาทแข็งค่าค่าใช้จ่ายบ ด้านขนส่งก็จะต่ำลง  แต่สิ่งที่กระทบก็คือ บาทแข็งทำให้ต้นทุนสินค้าไทยส่งออกแพงขึ้นแข่งขันลำบาก 

ปัญหาเหล่านี้ จะเป็นสิ่งท้าทายฝีมือรัฐบาลชุดใหม่ที่จะมาหลังเลือกตั้ง ที่วันเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 มีนาคม  โดยหลังจากที่ พระราชกฤษฏีกาให้มีการเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปได้มีผลในช่วงสายสายของวันนี้ ก็ส่งผล สร้างความเชื่อมั่นทันที ชัดสุดก็คือ ตลาดหุ้นไทยขยับขึ้นทันที วันนี้ ปิดตลาดที่ 1,617.38 จุด เพิ่มขึ้น 15.61 จุด มูลค่าการซื้อขาย 67,790 ล้านบาท

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)กล่าวว่า เรื่องนี้ ส่งผลดีต่อประเทศ เพราะช่วยให้มีความชัดเจน นักลงทุนมั่นใจ ประกอบกับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมีต่อเนื่อง ก็จะส่งผลให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามในเรื่องเงินบาทที่แข็งค่า สภาอุตสาหกรรมมีข้อเสนอว่าภาครัฐควรสนับสนุนการใช้สกุลเงินบาท เพื่อการค้าระหว่างประเทศกับประเทศในภูมิภาคอาเซียน สำหรับความกังวลสงครามการค้า การประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านก็ส่งผลให้ ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 93.2 ปรับตัวลดลงจากระดับ 93.9 ในเดือนพฤศจิกายน

ส่วนอุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าส่งออกระดับต้นๆ ของไทย ก็พบว่าส่งออกและจำหน่ายในประเทศดีขึ้นทำให้ยอดผลิตรวมรถยนต์ในปีที่แล้ว อยู่ในระดับ 2.167 ล้านคัน สูงสุดในรอบ 5 ปี แต่เป้าหมายในปีนี้คาดว่าสงครามการค้าจะทำให้ส่งออกลดลง จึงตั้งเป้าการผลิตปีนี้อยู่ที่ 2.15 ล้านคัน ลดลงร้อยละ 0.82 โดยคาดการส่งออกเพียง 1.2 ล้านคันและขายในประเทศ 2.15 ล้านคัน.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

พยาบาลถูกตบ

“สมศักดิ์” พร้อมช่วยคดี “พยาบาลสาว” ถูกญาติผู้ป่วยตบหน้า

“สมศักดิ์” รมว.สธ. พร้อมสนับสนุนหา “ทนายความ” ช่วยคดี “พยาบาลสาว” ถูกญาติผู้ป่วยตบหน้า บอกหากเจ้าตัวไม่ดำเนินคดี กระทรวงฯ พร้อมออกโรงแทน หวั่นเป็นเยี่ยงอย่าง

รพ.ระยอง ยันดำเนินคดีถึงที่สุดญาติคนไข้ตบพยาบาล

โรงพยาบาลระยอง แถลงปมญาติคนไข้ตบหน้าพยาบาล เผยหลังเกิดเหตุได้ดูแลอาการบาดเจ็บของพยาบาลผู้ประสบเหตุทันที ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด

ข่าวแนะนำ

ระทึก! ฝนถล่มอยุธยา บ้านพังครืน เจ็บ 3 คน

ฝนถล่มอยุธยา ลมแรงพัดบ้านไม้พังครืน ทับคนในบ้านเจ็บ 3 คน เผยนาทีระทึก! ได้ยินเสียงไม้ลั่น ก่อนบ้านพังถล่มลงมาทั้งหลัง ด้านกรมอุตุฯ เตือนอากาศแปรปรวนช่วงเปลี่ยนฤดู 18-24 ก.พ.นี้

“หมอธวัชชัย” หอบหลักฐานส่งผ้าขาว-โทรศัพท์โคลนนิ่งให้ดีเอสไอ

“หมอธวัชชัย” หอบหลักฐานส่งผ้าขาว-โทรศัพท์โคลนนิ่งจาก “บังแจ็ค” ให้ดีเอสไอ พร้อมเผยตัวการส่งหลักฐานเก๊

รพ.ระยอง ยันดำเนินคดีถึงที่สุดญาติคนไข้ตบพยาบาล

โรงพยาบาลระยอง แถลงปมญาติคนไข้ตบหน้าพยาบาล เผยหลังเกิดเหตุได้ดูแลอาการบาดเจ็บของพยาบาลผู้ประสบเหตุทันที ยืนยันดำเนินคดีถึงที่สุด

“สส.ปูอัด” รับทราบข้อกล่าวหาคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวไต้หวัน

“สส.ปูอัด” รับทราบข้อกล่าวหาคดีข่มขืนนักท่องเที่ยวสาวไต้หวัน ที่ สภ.เมืองเชียงใหม่ พร้อมกล่าวสั้นๆ ว่า วันนี้มาขอทราบรายละเอียดของข้อหา