กรุงเทพฯ 4 ม.ค. – หอการค้าไทยเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค.61
ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 หลังประชาชนกังวลสงครามการค้าและการเมืองยังไม่มีความชัดเจน
ประกอบกับเลื่อนเลือกตั้งคนส่วนใหญ่รับได้
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ
มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนธันวาคม 2561
ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 มาอยู่ที่ระดับ 79.4 จากเดือนก่อนหน้าที่ 80.5
เนื่องจากผู้บริโภครู้สึกว่าราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ทำให้อำนาจซื้อน้อยลงและราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดทรงตัวระดับต่ำ
รวมทั้งนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงและสงครามการค้าสหรัฐและจีนที่ยังมีปัญหา
จนส่งผลให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจจีนชะลอลง ทำให้กำลังซื้อปัจจุบันชะลอตัวลง
ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่ยังไม่ชัดเจน ซึ่งค่าดัชนียังคงอยู่ระดับต่ำกว่าปกติที่ระดับ
100
สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคยังมีความกังวลถึงสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมที่ยังฟื้นตัวไม่มาก
ทั้งนี้
เริ่มมีปัจจัยบวกมากขึ้นหลังจากรัฐบาลมีมาตรกรกระตุ้นการท่องเที่ยวผ่านการยกเว้นค่าธรรมเนียม
Visa on Arrival และปัญหาสงครามการค้าเริ่มมีการเจรจากัน
ประกอบกับราคาสินค้าเกษตรหลายรายการเริ่มปรับตัวดีขึ้นเช่น ข้าว มันสำปะหลัง
และข้าวโพด และช่วงสิ้นปีประชาชนมีการเฉลิมฉลองตามเทศกาลปีใหม่
รวมทั้งรัฐบาลออกมาตรการช้อปช่วยชาติ และการโอนเงินสดเข้าบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
ส่งผลบวกต่อการจับจ่ายเพิ่มขึ้นและการท่องเที่ยวก็มีนักท่องเที่ยวทั้งจีนเริ่มกลับมาและประเทศอื่น
ๆ ก็มาเที่ยวไทยมากขึ้น ซึ่งแม้จะมีปัจจัยบวกแต่ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก
ทำให้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคยังคงถูกกดดันต่อเนื่องในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปี 2562
นอกจากนี้ กรณีกระแสว่าจะมีการเลือกตั้งจากเดิมวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2562
ออกไปนั้น
โดยรวมเชื่อว่าจะไม่ได้กระทบต่อเศรษฐกิจและภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของคนทั่วโลกมากนัก
เพราะการเลื่อนออกไปจะอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญภายใน 150 วัน หรือจะเลื่อนออกไปในช่วงมีนาคมหรือเมษายน
แต่เป็นที่ทราบการจะมีเม็ดเงินในการหาเสียงมากกว่า 30,000-50,000 ล้านบาท
โดยเม็ดเงินการหาเสียงเลือกตั้งจะผูกพันกับทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากกิจกรรมการหาเสียง ถ้าเลื่อนการเลือกตั้งออกไปก็จะทำให้เกิดสุญญากาศไตรมาส 1 ทำให้เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงฟื้นตัวช้าออกไปบ้าง
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เศรษฐกิจไทยปีนี้คาดว่าทางหอการค้าไทยมองว่าจะอยู่ในกรอบร้อยละ
4 – 4.5 โดยมีปัจจัยบวกประกอบด้วย การส่งออกที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 5
มีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงปลายไตรมาสที่ 1 หรือช่วงไตรมาส ที่ 2
ทำให้จะมีเงินลงทุนเข้ามาเร็ว มีการจับจ่ายใช้สอย แต่ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องตาม
คือ ทางออกสงครามการค้า และสถานการณ์ราคาน้ำมัน เป็นต้น
สำหรับผลกระทบจากพายุปาบึก คาดว่าไม่กระทบยาวนานต่อการท่องเที่ยวของภาคใต้ในภาพรวม
แต่กิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจกระทบระยะสั้นจากการหยุดการเดินทางในช่วง 3-5 วัน
มูลค่าความเสียหายน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3,000-5,000 ล้านบาท
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ความยาวนานของพายุที่เกิดขึ้น
แต่จะไม่กระทบกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมของภาคใต้ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้
.-สำนักข่าวไทย