กรุงเทพฯ 6 ธ.ค. – รมว.เกษตรฯ มึน 6 ผู้ผลิตล้อยางรายใหญ่ของโลก ระบุทุกวันนี้ต้องซื้อยางพาราไทยที่ตลาดต่างประเทศตามราคาตลาดซื้อขายล่วงหน้าสิงคโปร์และโตเกียว แต่ใช้ยางในไทยส่งมอบ สั่ง กยท.เร่งหาแนวทางภายใน 7 วัน ดึงเอกชนซื้อยางจากสถาบันเกษตรกรโดยตรง
นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทววงเกษตรและสหกรณ์ เชิญสมาคมผู้ผลิตยางรถยนต์ไทย (TATMA) โดยมีบริษัทผู้ผลิตล้อยางรถยนต์รายใหญ่ของโลก 6 แห่งที่ตั้งโรงงานในไทย เช่น ไทยบริดจ์สโตน คอนติเนลตัล โยโกฮามา สยามมิชลิน ซูมิโตโม รับเบอร์ และแม็กซิส อินเตอร์เนชั่นแนล ส่งผู้แทนมารับทราบแนวทางของรัฐบาลในการยกระดับราคายางพารา โดยขอความร่วมมือเพิ่มการรับซื้อยางพาราไทยไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตล้อยางมากขึ้น จากปัจจุบันใช้ยางแผ่นปีละ 482,000 ตัน
นายกฤษฎา กล่าวว่า รู้สึกมึนงงมาก เนื่องจากผู้แทนทั้ง 6 บริษัทระบุว่าปัจจุบันซื้อยางจากบริษัทผู้ส่งออกรายใหญ่ 5 แห่งของไทย แต่ซื้อขายกันที่ตลาดล่วงหน้าสิงคโปร์และญี่ปุ่น ทั้งนี้ เคยจะรับซื้อในไทยโดยตรง แต่บริษัทใหญ่ทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ไทยฮั้วรับเบอร์ ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี เซาท์แลนด์รับเบอร์ วงศ์บัณฑิต และไทยรับเบอร์ ลาแท็คซ์กรุ๊ปขายยางที่ตลาดล่วงหน้าเท่านั้น เมื่อจะหาผู้ประกอบการในไทยส่งยางเป็นวัตถุดิบให้กลับไม่มีที่ใดมีศักยภาพมากพอที่จะส่งมอบยางปริมาณมากได้ตามเวลาที่กำหนด รวมถึงรับประกันคุณภาพยาง จึงต้องไปซื้อยางตลาดโตคอม กรุงโตเกียว ญี่ปุ่น และตลาดไซคอม สิงคโปร์ เมื่อทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้าบริษัทผู้ส่งออกของไทยจะส่งมอบยางเข้าโรงงานผลิตล้อยางตามกำหนดเวลาในสัญญา
“รู้สึกมึนมากเมื่อได้รับฟังจากภาคเอกชนว่าต้องซื้อยางพาราไทยที่ตลาดต่างประเทศด้วยราคาต่างประเทศ แต่รับมอบยางที่เมืองไทย ถ้าจะให้ผู้ผลิตล้อยางรับซื้อยางในไทยก็ต้องทำให้ไทยหาผู้ดำเนินการที่มีศักยภาพรวบรวมยางได้ตามคำสั่งซื้อส่งมอบได้ตามสัญญา และให้ความมั่นใจเรื่องคุณภาพยาง จึงสั่งให้ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เร่งศึกษาภายใน 7 วัน ให้ได้ข้อสรุปว่า ทำวิธีใดได้บ้าง โดยอาจให้ กยท.ซื้อขายยางกับบริษัทล้อยางเอง เนื่องจากเป็นรัฐวิสาหกิจประกอบธุรกิจได้ หรือให้สหกรณ์ที่เข้มแข็งดำเนินการ รวมถึงแนวทางจัดตั้งบริษัทร่วมค้าระหว่าง กยท.กับสถาบันเกษตรกร เพื่อนำน้ำยางจากสถาบันเกษตรกรส่งขายแก่ผู้ผลิตล้อยางโดยตรงไม่ผ่านคนกลาง” นายกฤษฎา กล่าว
ทั้งนี้ สมาคมผู้ผลิตล้อยางฯ ยินดีให้ความร่วมมือ อีกทั้งจะรับซื้อปริมาณมากขึ้น หากกระทรวงเกษตรฯ จัดหาผู้ขายที่น่าเชื่อถือ กยท.จึงจะไปศึกษาวิธีปฏิบัติตามแนวทางดังกล่าว สำหรับสหกรณ์เกษตรกรชาวสวนยางที่มีศักยภาพในการรวบรวมยางได้มาก แปรรูปน้ำยางสดเป็นยางแผ่นและยางแท่งส่งขายต่างประเทศได้ คือ สหกรณ์อำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี นอกจากนี้ กรมส่งเสริมสหกรณ์ได้คัดเลือกสหกรณ์ที่เข้มแข็ง 18 แห่ง ซึ่งจะเร่งศึกษาว่าจะดำเนินธุรกิจซื้อขายยางกับบริษัทล้อยางรูปแบบใด
นายกฤษฎา กล่าวว่า ผู้ผลิตล้อยางต้องการขยายที่ตั้งโรงงานในไทยเพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นผู้ผลิตยางพาราส่งออกรายใหญ่ที่สุดของโลก อีกทั้งมีความพร้อมทุกด้าน แต่ต้องการให้รัฐบาลลดขั้นตอนการออกใบอนุญาตตั้งโรงงานอุตสาหกรรมให้รวดเร็วขึ้น ซึ่งขณะนี้ต้องทำ 3 ขั้นตอน คือ ขออนุญาตตั้งโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม ศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม และต้องทำประชาพิจารณ์ขอความเห็นชอบจากท้องถิ่น หากอยู่ในขั้นตอนเดียวจะทำให้บริษัทแม่ซึ่งอยู่ต่างประเทศตัดสินใจเพิ่มจำนวนโรงงานผลิตล้อยางอีกหลายแห่ง รวมถึงพร้อมรับซื้อยางพาราจากสถาบันเกษตรกรโดยตรง
นายกฤษฎา กล่าวถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์กระทรวงเกษตรฯ และ กยท. คิดหาแต่มาตรการเฉพาะหน้าไม่มีผลทำให้ยางราคาขึ้นได้นั้น ยืนยันว่าการช่วยเหลือค่าครองชีพไร่ละ 1,800 บาท สามารถบรรเทาความเดือดร้อนให้เกษตรกรสวนยางได้ พร้อมระดมมาตรการใช้ยางพาราทำถนน ทำให้วันนี้ราคายางขยับขึ้นอีก 50 สตางค์ มั่นใจว่าราคาจะขึ้นอีกตามลำดับ เมื่อมีการใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีมาตรการให้เงินกู้ 5,000 ล้านบาทแก่สหกรณ์เพื่อรับซื้อน้ำยางจากเกษตรกรมาแปรรูปแล้วส่งออก โดยรัฐบาลสนับสนุนดอกเบี้ยให้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตรการระยะกลางถึงระยะยาวที่ ครม.เห็นชอบ ทำให้เกษตรกรขายยางได้โดยไม่ผ่านคนกลางแล้วสหกรณ์นำไปแปรรูปเพื่อส่งออกเอง
ในวันนี้ได้สั่งการให้หน่วยงานเกี่ยวข้องหารือกับกระทรวงมหาดไทย เพื่อเชิญประชุมนายกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทำความเข้าใจเกี่ยวกับการทำถนนงานดินผสมยางพารา แบบก่อสร้างจากกรมทางหลวง ซึ่งกำลังเขียนใหม่จะเสร็จภายในวันที่ 10 ธันวาคมนี้ และราคากลางซึ่งกรมบัญชีกลางจะออกใหม่ กรณี อปท.ดำเนินการทำถนนลูกรังอัดแน่นผสมปูนซีเมนท์และน้ำยางพาราเอง เนื่องจากราคากลางก่อนหน้านี้เป็นจ้างเหมา หาก อปท.ทำเองจะมีต่ำกว่า โดยราคาก่อสร้างกิโลเมตรละ 1.2 ล้านบาท แต่ใช้น้ำยางมากถึง 12-15 ตันต่อ 1กิโลเมตร ในหมู่บ้านและตำบลเกือบ 80,000 แห่ง โดยทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดและหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ แต่ละจังหวัดกำลังรวบรวมข้อมูลจาก อปท. แต่ละแห่งว่า มีความประสงค์จะทำถนนกี่สาย สายละกี่กิโลเมตร แล้วรายงานเข้าศูนย์ติดตามโครงการฯ ทุกวัน ทำให้ทราบว่า การใช้ยางพาราจะเพิ่มขึ้นเท่าไร อีกทั้งให้ทำแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งแล้วเสร็จ ซึ่งมั่นใจว่าจะกระตุ้นให้ราคายางพาราในประเทศปรับตัวสูงขึ้นได้แน่นอน.-สำนักข่าวไทย