นายกฯ ย้ำเดินหน้าเลือกตั้ง ไม่ขัดแย้งกับใคร

เมืองทองฯ 9 ส.ค.- นายกฯ มอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2561 แนะพัฒนากองทุนหมุนเวียนใหม่ ๆ เพื่อตอบโจย์การพัฒนา สร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนในทุกด้าน เชื่อมโยงกับการเดินหน้าประชารัฐ และนโยบายไทยนิยม ขอทุกฝ่ายช่วยกัน ระบุนักวิชาการไม่ควรสร้างความสับสน ยกแนวทางของต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับไทย เพราะไทยคือไทย ย้ำเดินหน้าเลือกตั้ง ไม่ขัดแย้งกับใคร


พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในงานมอบรางวัลทุนหมุนเวียนดีเด่น ประจำปี 2561 ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง  โดยปีนี้มีทุนหมุนเวียนที่ได้รับรางวัล จำนวนทั้งสิ้น 10 รางวัล จาก 5 ประเภทรางวัล คือ รางวัลผลการดำเนินงานดีเด่น จำนวน 4 กองทุน เช่น กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  รางวัลการพัฒนาดีเด่น ไม่มีทุนหมุนเวียนได้รับรางวัล ประเภทดีเด่น มีรางวัลประเภทชมเชย จำนวน 2 ทุน คือ เงินทุนหมุนเวียนยาเสพติด และเงินทุนหมุนเวียนเพื่อจัดทำแผ่นป้ายทะเบียนรถ รางวัลประสิทธิภาพด้านการบริหารจัดการดีเด่น จำนวน 2 ทุน คือ กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกองทุนป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน  รางวัลทุนหมุนเวียนเกียรติยศ ได้แก่ กองทุนสนับสนุนการวิจัย  รางวัลผู้บริหารทุนหมุนเวียนดีเด่น คือ กองทุนสนับสนุนการวิจัย

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวแสดงความยินดีกับทุกกองทุนที่ได้รับรางวัล เพราะกองทุนเหล่านี้เปรียบเสมือนเครื่องมือ ตอบสนองโจทย์ความต้องการของประเทศ  ให้มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสังคมตามยุทธศาสตร์ชาติ ลดความเหลื่อมล้ำ และมุ่งดูแลเศรษฐกิจฐานราก ที่รัฐบาลมีความเป็นห่วง เนื่องจากกลุ่มคนเหล่านี้เปรียบเสมือนเสาเอกของบ้าน  ดังนั้นจะต้องดูแลให้เกิดความเท่าเทียมและเป็นธรรม รวมถึงสร้างความมั่นคงในอาชีพ ซึ่งขณะนี้รัฐบาลได้ดำเนินการในหลายเรื่อง แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีอะไรที่ทุกคนพอใจได้ทั้งหมด 


นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กองทุนเหมุนเวียนจะไปสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ให้เกิดการพัฒนาและการดำเนินการ  ที่สำคัญต้องตั้งเป้าหมายให้มีความชัดเจน เป็นรูปธรรม การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างโปร่งใส และคุ้มค่า ขณะเดียวกันก็ต้องมีการมองหาพัฒนากองทุนหมุนเวียนใหม่ ๆ ขึ้นมาเพื่อตอบโจย์การพัฒนา สร้างความเข้มแข็งให้ประชาชนในทุกด้าน โดยต้องอยู่บนหลักความเชื่อมโยงกับการเดินหน้าประชารัฐ และนโยบายไทยนิยม โดยมีมาตรการควบคุมความเสี่ยงในการดำเนินการของกองทุนต่างๆ 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ให้ทุกคนเข้าใจถึงความจำเป็นยุทธศาสตร์ชาติ ที่ไม่ใช่เป็นการบังคับ แต่มุ่งที่จะให้ประเทศพ้นกับดักการมีรายได้ปานกลาง และกับดักประชาธิปไตย รวมถึงนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่มาจากแนวทางการปรับเปลี่ยนเศรษฐกิจของโลก และอุปสรรคที่สำคัญในการไปสู่เป้าหมาย คือการสร้างความเข้าใจกับทุกคน ดังนั้นจึงขอให้ทุกฝ่ายสร้างความเข้าใจ และลดการโจมตีกันไปมาแบบเดิม ๆ ก็จะทำให้การเริ่มต้นใหม่ ๆ ทำไม่ได้ เพราะเป้าหมายสำคัญคืออีก 20 ปีข้างหน้า ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น 

“การดำเนินโครงการไทยนิยม เป็นโครงการที่ต้องการให้คนนิยมความดี ความงาม ความสุข  และความถูกต้อง แต่ไม่ใช่ถูกใจใครทุกคน รัฐบาลชุดนี้ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง แต่กำลังดำเนินการทุกเรื่อง เพื่อรัฐบาลเลือกตั้งในอนาคต ที่สำคัญไม่ได้ทำเพื่อหวังคะแนนนิยม แต่กำลังแก้ปัญหาให้ประเทศเดินหน้าได้ ดังนั้นขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน โซเซียลมีเดีย รวมไปถึงนักวิชาการ ที่ไม่ควรสร้างความสับสน ด้วยการยกแนวทางของต่างประเทศมาเปรียบเทียบกับไทย เพราะไทยคือไทย” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว


นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการแสดงความเห็นผ่านโซเซียลว่า มีการแสดงความเห็นรุนแรงมากขึ้น บางครั้งไม่มีความปรองดอง และแบ่งเป็นสองฝ่ายเสมอ ทั้งที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย แต่ขออย่าใช้ถ้อยคำที่หยาบคาย เพราะตนไม่อยากอ่านสิ่งเหล่านี้ แต่จำเป็นต้องอ่านเพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหา

“ส่วนตัวผมไม่ขัดแย้งกับใคร วันนี้ต้องแก้ปัญหาให้ได้  ให้เป็นไปในทางที่ถูกต้องเหมาะสม  ไม่อยากให้เกิดความขัดแย้ง และสุดท้ายผมต้องเข้าไปตัดสิน แต่วันนี้ต้องเดินหน้าเตรียมสู่การเลือกตั้งในอนาคต ที่สำคัญไม่มีอะไร 100 เปอร์เซ็นต์ หากไม่มีความพร้อม แต่วันนี้ได้เดินหน้ามากว่า 4 ปี แล้ว จะให้เดินกลับไปสู่จุดเดิมหรือเดินต่อไป ก็อยู่ที่ทุกคน ขอให้ช่วยกันประคับประคองประเทศ ไปกับรัฐบาลที่จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ได้ให้แนวทางว่า การแต่งตั้งบุคคลากรที่จะมารับผิดชอบงานต่างๆ  รวมไปถึงของกองทุนหมุนเวียนนี้ จะพิจารณาความเหมาะสม ความสามารถ ที่จะรองรับการทำงาน ทั้งในวันนี้และอนาคตได้   อีกทั้งให้การทำงานเป็นที่ยอมรับ โปร่งใส และประชาชนให้ความเชื่อมั่น

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สำหรับเดือนสิงหาคม ถือเป็นเดือนมหามงคล วันแม่แห่งชาติ ซึ่งสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อคนไทยทุกคน สืบสานต่อยอดงานรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องระลึกถึงเสมอ และต้องร่วมกันทำความดีเพื่อประเทศชาติ เพราะเชื่อว่าคนที่ทำดี ทำเพื่อประเทศจะไม่ต้องเกรงกลัวสิ่งไหน และวันนี้ขอให้ทุกคนทำบุญ ทำกุศล ให้สังคม.-สำนักข่าวไทย                        

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

เชียงใหม่อากาศแปรปรวน เจอลมหนาว-ฝนตก 3 วันติด

ชาวเชียงใหม่เจอลมหนาวและฝนตกต่อเนื่อง 3 วันติด อุตุฯ ย้ำอากาศแปรปรวน เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ยังมีฝนตกและลมหนาว แนะรักษาสุขภาพ

“อัจฉริยะ” ยื่นสอบปม “ทนายตั้ม” ปูดข่าวผู้บริหารปลอมเอกสารขยายอายุเกษียณ

“อัจฉริยะ” ยื่นหนังสือตรวจสอบข้าราชการช่วยผู้บริหารรัฐวิสาหกิจปลอมเอกสารขยายอายุเกษียณ คาดอาจมีทนายดังเข้าไปเอี่ยว เสนอตำรวจให้สอบพยานรายสำคัญที่เป็นประโยชน์กับ “มาดามอ้อย”

“ทนายตั้ม” เครียดหนัก หลัง 3 บิ๊ก บช.ก. สอบปากคำ

“ทนายตั้ม” เครียดหนัก หลัง 3 บิ๊กสอบสวนกลาง สอบปากคำ นานกว่า 5 ชั่วโมง ขณะที่พนักงานสอบสวนเตรียมเข้าค้น “ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม” เช้าพรุ่งนี้ หาหลักฐานเพิ่ม ก่อนฝากขังช่วงบ่าย ค้านประกันตัว

“บิ๊กอ้อ” เผย “ทนายตั้ม-ภรรยา” มีพฤติการณ์หนี-ยุ่งเหยิงพยานฯ

“บิ๊กอ้อ” ชี้ตำรวจต้องออกหมายจับ “ทนายตั้ม” เหตุพบพฤติการณ์เตรียมหลบหนีออกนอกประเทศ และยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีคดีต่อเนื่อง 3 คดี เตรียมแจ้งข้อหาเพิ่ม

ข่าวแนะนำ

อุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นตอนเช้า-ภาคใต้ฝนหนัก

กรมอุตุฯ เผย “เหนือ-อีสาน” อากาศเย็นในตอนเช้า เตือนภาคใต้ฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง พร้อมอัปเดตเส้นทางพายุ “หยินซิ่ง”

MOU44

MOU 44 ผลประโยชน์ชาติ กับ การเมือง ตอนที่ 1

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เรื่องเอ็มโอยู 44 และเส้นแบ่งอาณาเขตทางทะเล หรือเส้นเคลม กลายเป็นปมร้อน ท่ามกลางความกังวลถึงผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และสิทธิเหนือเกาะกูด ติดตามความเห็นและมุมมองจากผู้เกี่ยวข้องในรายงาน “ปมร้อน เอ็มโอยู 44 ผลประโยชน์ชาติ กับ การเมือง”

ทนายตั้ม

“ทนายตั้ม” สร้างตัวตนผ่านสื่อ หวังหาผลประโยชน์หรือไม่

หลังจากพนักงานสอบสวนควบคุมตัว “ทนายตั้ม” และภรรยา เข้าเรือนจำไปแล้ว มีคำถามตามมาว่า ทนายคนดังสร้างตัวตนจนโดดเด่นในสังคม เพื่อหาผลประโยชน์จากความน่าเชื่อถือที่สร้างไว้หรือไม่

ระเบิดปากีสถาน

ยอดเสียชีวิตจากเหตุระเบิดสถานีรถไฟปากีสถานเพิ่มเป็น 24 รายแล้ว

เหตุระเบิดสถานีรถไฟในเมืองเควตตา ทางตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน ตายเพิ่มเป็นอย่างน้อย 24 ราย บาดเจ็ดมากกว่า 40 ราย