ศาลอาญา 21 ก.ย.- ศาลมีคำสั่งคุก 3 ปี ไม่รอลงอาญา “แทน เทือกสุบรรณ-บรรเจิด เหล่าปิยะสกุล” บุกรุกที่เขาแพง สุราษฎร์ธานี กว่า 40 ไร่ ขณะที่ “พรชัย ฟ้าทวีพร-โกเข็ก สามารถ เรืองศรี” กลุ่มนายหน้าค้าที่ดิน โดนจำคุกคนละ 5 ปี ไม่รอการลงโทษ ชี้ชัดป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติสำคัญ การเปลี่ยนแปลงเป็นประโยชน์ตัวเอง เป็นเรื่องร้ายแรง ทนายหอบเงินสด สมุดเงินฝาก-น.ส.3 ก.ประกัน ศาลตีราคาประกันคนละ 500,000-800,000 บาท พร้อมสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
ที่ห้องพิจารณา 902 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (21 ก.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาคดีบุกรุกที่เขาแพง อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี หมายเลขคดีดำ อ.3534/2556 ที่พนักงานอัยการ ฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ ฟ้องนายพรชัย ฟ้าทวีพร อายุ 51 ปี ผจก.ห้างหุ้นส่วนจำกัดเรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น, นายสามารถ หรือ โกเข็ก เรืองศรี อายุ 59 ปี หุ้นส่วน หจก.เรืองปัญญาคอนสตรัคชั่น และนายหน้าค้าที่ดิน, นายแทน เทือกสุบรรณ อายุ 35 ปี บุตรชายของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฏร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ และนายบรรเจิด เหล่าปิยะสกุล อายุ 61 ปี อดีตเลขานุการส่วนตัวของนายสุเทพ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐาน ร่วมกันก่อสร้าง แผ้วถางป่า หรือเผาป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการทำลายป่า หรือเข้ายึดถือครอบครองป่าเพื่อตนเองและผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานเข้าไปยึดถือ ครอบครอง ก่อสร้าง หรือเผาป่าในที่ดินของรัฐโดยมิได้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ ตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 , 108 ทวิและ พ.ร.บ.ป่าไม้ พ.ศ.2518 มาตรา 22
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความ และ พยานหลักฐาน 2 ฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันแล้ว เห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบ มีน้ำหนักน่าเชื่อถือ ส่วนพยานหลักฐานจำเลย มีน้ำหนักน้อย ไม่สามารถมาหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 4 เป็นความผิดตามฟ้องจริง พิพากษาว่า นายพงษ์ชัย และนายสามารถ หรือโกเข็ก จำเลยที่ 1-2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคสอง ให้จำคุกคนละ 5 ปี ส่วนนายแทน และนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 9 (1) , 108 ทวิ วรรค 1 และ พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ มาตรา 54 วรรคหนึ่ง, 72 ตรี วรรคหนึ่ง เป็นความผิดกรรมเดียว แต่ผิดกฏหมายหลายบทให้ลงโทษความผิดตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักสุด ให้จำคุกคนจำเลยที่ 3 และ 4 ไว้คนละ 3 ปี
ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า ป่าไม้เป็นทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ และเป็นสมบัติที่ล้ำค่าของชาติ ควรที่ประชาชนจะต้องร่วมกันหวงแหน บำรุงรักษาให้อุดมสมบูรณ์ เพื่อประโยชน์ร่วมกัน ไม่ให้เป็นของส่วนตัวแก่ผู้ใด การกระทำของจำเลยทั้ง 4 มีผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมของดิน น้ำ อากาศ และป่าไม้ ทั้งโดยตรงและทางอ้อม อันเป็นต้นเหตุของความแห้งแล้ง และภัยพิบัติจากน้ำป่าไหลหลาก สภาพความผิดจึงเป็นเรื่องร้ายแรง ไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ และให้จำเลยทั้ง 4 คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารของจำเลยทั้ง 4 ออกจากที่ดินและป่าไม้ บริวารที่เกิดเหตุด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลัง ทนายความได้ยื่นคำร้อง พร้อมหลักทรัพย์ อาทิ สมุดเงินฝากธนาคาร หนังสือ น.ส.3 ก. เพื่อขอปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 4 ระหว่างอุทธรณ์คดี กระทั่งเวลา 16.15 น. ศาลพิจารณาคำร้องและหลักทรัพย์แล้ว มีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 4 โดยตีราคาประกัน นายพงษ์ชัย และนายสามารถ หรือโกเข็ก จำเลยที่ 1-2 คนละ 800,000 บาท ส่วนนายแทน และนายบรรเจิด จำเลยที่ 3-4 ตีราคาประกันคนละ 500,000 บาท พร้อมกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยทั้ง 4 เดินทางออกนอกราชอาณาจักร เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล. – สำนักข่าวไทย