ยธ.8 ธ.ค.-ยื่นหนังสือร้องผ่านกระทรวงยุติธรรม ขอความเป็นธรรมสามีถูกหลอกให้รับผิดในคดีครอบครองไม้พะยูง ด้านรองปลัด ยธ.ยอมรับเป็นคดีแรกที่มีผู้ออกมายอมรับสารภาพ รับจ้างติดคุก
นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ประธานเครือข่ายต่อต้านการบ่อนทำลาย ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และคณะทำงานฝ่ายกฎหมาย พร้อมด้วยนางวิกุล โพธิ์ชัย ชาวจังหวัดมุกดาหาร เข้าพบนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม(ยธ.) เพื่อขอความเป็นธรรมกรณีสามี ถูกหลอกให้รับผิดในคดีครอบครองไม้พะยูง
นายสงกานต์ กล่าวว่าได้รับเรื่องร้องจากนางวิกุลว่าสามีคือนายชวนณรงค์ คำปาน ถูกดาบตำรวจ ชื่อเล่นยาว หลอกลวงให้สามีไปรับจ้างติดคุกแทนนายทุน ในคดีตั้งโรงงานแปรรูปไม้เถื่อนรายใหญ่ โดยให้แสดงตัวเป็นเจ้าของไม้แปรรูป โดยแจ้งว่าติดคุกเพียง 4 เดือน และให้แจ้งตำรวจว่า ไม่เคยทำผิดมาก่อนเพื่อศาลจะได้ลดโทษและเหลือแค่รอลงอาญา โดยแลกกับเงิน 200,000 บาท โดยจ่ายให้มาก่อน 100,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าติดคุก ไม่นานและได้เงินมาพอจะรักษาอาการป่วยจึงยอม ปรากฎเมื่อตำรวจ สภ.เมืองมุกดาหาร จับกุมดำเนินคดีพบว่า เป็นคดีใหญ่มีของกลางไม้พะยูงกว่า 800 ท่อน ซึ่งเป็นคดีที่เจ้าหน้าที่ชุดที่ คสช.สั่งดำเนิน การเข้าจับกุม ศาลได้ตัดสินจำคุก 8ปี6 เดือนแต่สามีรับสารภาพเหลือจำคุก 4 ปี 3 เดือน ขณะนี้ติดคุกในเรือนจำมุกดาหารไปแล้ว 5 เดือน นางวิกุลเห็นว่าสามีถูกหลอกลวงให้หลงเชื่อ จึงมาร้องขอความเป็นธรรม เพื่อให้สามีออกจากคุก โดยพร้อมจะยอมรับผิดในคดีอาญาแจ้งความเท็จต่อเจ้าหน้าที่ เบิกความ เท็จและละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมาย โดยโทษสูงสุดในคดีนี้จะมีโทษจำคุกสูงสุด 7 ปี ปรับไม่เกิน 14,000 บาทนอกจากสามี และหากสืบสวนพบว่านางวิกุล ผิดก็พร้อมจะยอมรับด้วย
ด้านนายธวัชชัย กล่าว่าคดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่มีผู้ออกมายอมรับสารภาพว่ามีการรับจ้างติดคุกเพราะที่ผ่านมามีเบาะแส แต่ไม่มีใครออกมาให้ข้อมูล เป็นคดีที่กระทรวงฯให้ความสนใจ ซึ่งในส่วนนายชวนณรงค์ นั้นต้องรับโทษคดีเรื่องการแจ้งความเท็จ เบิกความเท็จแน่นอน ส่วนการสืบสวนเอาผิดตั้งแต่ต้นเรื่องจากส่งเอกสารหลักฐานให้ดีเอสไอ พิจารณาว่าจะสามารถดำเนิการอะไรได้บ้าง หรือรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ รวมทั้งจะหารือกับนายสงกานต์ เพื่อดูแลเรื่องการฟ้องร้อง โดยกระทรวงจะดูแลในเรื่องค่าใช้จ่ายทนายความต่อสู้ในคดีนี้ให้ ยืนยันเป็นคดีที่ทางกระทรวงสนใจ และพร้อมเดินหน้าดำเนินการให้ถึงที่สุด
นายธวัชชัย กล่าวด้วยว่า กรณีนี้ถือเป็นการทำให้กระบวนการยุติธรรมเสียหายอย่างมาก จึงจำเป็นต้องเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติสมควรต้องแยกกระบวนการสืบสวน และสอบสวนแยกออกจากกัน เพื่อจะไม่มีการก้าวก่ายการทำงานซึ่งกันและกัน ในเรื่องนี้มีความผิดปกติบกพร่องตั้งแต่กระบวนการตั้งต้น เมื่อรับคดีมา หากสืบสวนพยานหลักฐานจะพบข้อมูลในอดีตว่าศักยภาพของชายคนนี้ไม่สามารถดำเนินการใหญ่แบบนี้ได้ เเต่กลับมีการปล่อยให้เอาผิดกับคนนี้ ประเด็นนี้ทราบว่าทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความพยายามกำจัดตำรวจไม่ดีออกแต่ส่วนตัวอยากให้เกิดการปฏิรูปกระบวน การยุติธรรมนี้เป็นรูปธรรมชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน .-สำนักข่าวไทย