สำนักงานป.ป.ช.สนามบินน้ำ 22 มิ.ย.-คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติไม่รื้อคดีสลายชุมนุมปี 53 ย้ำพิจารณาตามพยานหลักฐาน ขณะที่แกนนำนปช.ร่วมฟังแถลงทวงความยุติธรรมให้ผู้เสียชีวิต
นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะโฆษกสำนักงานป.ป.ช. แถลงว่า คณะกรรมการป.ป.ช.มีมติไม่รื้อฟื้นคดีที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ยื่นหลักฐานใหม่ต่อป.ป.ช.เพื่อให้รื้อฟื้นคดีสลายการชุมนุมนปช.ปี 2553 ที่ป.ป.ช.เคยยกคำร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรีไม่มีความผิดในการสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.
เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า คณะกรรมการป.ป.ช.เห็นว่าประเด็นสั่งใช้กำลังทหารพร้อมอาวุธปืนติดตัว เพื่อเข้าขอคืนพื้นที่จากกลุ่มนปช.จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต ปรากฎข้อเท็จจริงว่าเป็นช่วงที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงและการชุมนุมของ นปช.เป็นการชุมนุมที่ไม่ปกติ ทำให้ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) จำเป็นต้องเข้าขอคืนพื้นที่ ทั้งนี้ หากภายหลังพิสูจน์ได้ว่าการเข้าขอคืนพื้นที่ เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธเกินความจำเป็น เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานต้องรับผิดชอบ ซึ่งในที่ประชุม ป.ป.ช. มีมติส่งเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการตามกฎหมาย
“ประเด็นที่นปช.อ้างว่าการระบุว่ามีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นการกล่าวอ้างไม่เป็นข้อเท็จจริง รวมทั้งประเด็นที่นปช.เปรียบเทียบการสลายการชุมนุมระหว่างกลุ่มพันธมิตรฯ ปี 2551 กับกลุ่ม นปช.ปี 2553 ว่ามีความแตกต่างกันนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่าการชุมนุมของนปช.ไม่ใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม จึงจำเป็นที่เจ้าหน้าที่ต้องสลายการชุมนุมเพื่อความสงบของบ้านเมือง และเจ้าหน้าที่สามารถนำอาวุธติดตัวได้ เพื่อป้องกันตัวตามหลักสากล อีกทั้งยังพบว่าการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่มีการพกพาอาวุธติดตัวปะปนในกลุ่มผู้ชุมนุมด้วย ขณะที่การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ เพื่อให้รัฐบาลเข้าไปแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และไม่ได้วางแผนมาก่อน ต่างจากการสลายการชุมนุมกลุ่มนปช.เพื่อให้เกิดความสงบสุขของบ้านเมือง พิจารณาวางแผนอย่างเป็นลำดับขั้นตอนเพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียขึ้นอีก” นายวรวิทย์ กล่าว
เลขาธิการป.ป.ช. กล่าวว่า การสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพวกมีความผิดในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งระดับนโยบายตามความผิดทางอาญา มาตรา 157 ส่วนกรณีของนายอภิสิทธิ์ การกระทำไม่มีมูลความผิดทางอาญาและได้ส่งเรื่องให้ดีเอสไอดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ทหารกรณีที่มีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บ ป.ป.ช.จึงยืนยันว่าการวินิจฉัยเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่มีพยานหลักฐานชัดเจน ขณะเดียวกัน หลักฐานที่นายณัฐวุฒิยื่นต่อป.ป.ช.ไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่ ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่สามารถรื้อฟื้นคดีได้ และส่งหลักฐานที่นายณัฐวุฒิยื่นเพิ่มเติมต่อ ป.ป.ช. ไปให้ดีเอสไอพิจารณารวมกับคดีในส่วนของนายทหารระดับสูงและ เจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ ที่ก่อนหน้านี้ป.ป.ช.เคยส่งกลับไปให้ดีเอสไอดำเนินการในส่วนเจ้าหน้าที่
นายวรวิทย์ กล่าวว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่เคยละเลยกรณีที่มีผู้เสียชีวิต แต่เรื่องนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของดีเอสไอ ซึ่งป.ป.ช.จะติดตามและประสานอย่างใกล้ชิด ยืนยันว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฎในสำนวน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ แกนนำนปช.ได้ร่วมฟังการแถลงข่าวของป.ป.ช. ครั้งนี้ด้วย พร้อมสอบถามเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าการใช้ดุลยพินิจการสลายการชุมนุมของทั้งสองกลุ่มมีความยุติธรรมหรือไม่ ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยืนยันว่าไม่ได้ตัดโอกาสในการยื่นคำร้อง โดยวินิจฉัยทั้ง 4 คำร้องที่ยื่นมา หากนายณัฐวุฒิพบหลักฐานใหม่สามารถยื่นต่อป.ป.ช.ได้อีกครั้ง ซึ่งนายณัฐวุฒิได้ตอบกลับว่า ศึกษามติและหลักการที่ป.ป.ช.ตีกลับคดีมาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จึงได้ยื่นหลักฐานใหม่อีกครั้ง และไม่เชื่อว่านี่คือความยุติธรรม และไม่ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“เชื่อว่าในฐานะมนุษย์ ผมยังมีสิทธิ์ทวงถามความยุติธรรม ยืนยันว่าผมเจ็บปวด ผมทราบผลมาตั้งแต่เมื่อวานนี้(21 มิ.ย.) แล้ว แต่ที่มาวันนี้(22 มิ.ย.) เพราะมาแบกรับความยุติธรรมร่วมกับคนตาย การพิจารณาการสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรฯกับกลุ่มนปช.ไม่เท่าเทียมกัน ทั้งที่การแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลนายสมชายเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่นายสมชายกลับมีความผิด ขณะที่นายอภิสิทธิ์ไม่มีความผิด ผมจึงต้องการคำตอบว่าความยุติธรรมอยู่ตรงไหน และหลังจากการเลือกตั้ง ผมจะรวบรวมรายชื่อ 2 หมื่นรายชื่อเสนอต่อประธานรัฐสภาและศาลฎีกาเพื่อตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะกรรมการป.ป.ช.กรณีดังกล่าวอีกครั้ง” นายณัฐวุฒิ กล่าว .- สำนักข่าวไทย
