กรุงเทพฯ 14 มิ.ย. – ไทยพาณิชย์ จับตาอสังหา ฯ เร่งระบายสต็อกบ้าน – คอนโดเหลือขาย 176,000 หน่วย คาดคอนโดมิเนียมฟังก์ชั่นครบครองใจผู้บริโภค
นายวิธาน เจริญผล ผู้อำนวยการอาวุโสคลัสเตอร์ธุรกิจบริการ Economic Intelligence Center ( EIC ) ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยในปีนี้มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากที่ชะลอตัวเนื่องจากหมดมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยประเมินมูลค่ายอดโอนในกรุงเทพและปริมณฑลขยายตัวร้อยละ 7 คิดเป็นมูลค่า 460,000 ล้านบาท จากยอดโอนทั้งประเทศประมาณ 900,000 ล้านบาท ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ การขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน แต่ยังมีปัจจัยต้องระวังคือความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ หนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูงกดดันความสามารถการขอสินเชื่อ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการยังมีความท้าทายในการเร่งระบายบ้านและคอนโดเหลือขาย จำนวน176,000 หน่วย เป็นคอนโดมิเนียมประมาณร้อยละ 40 บ้านเดี่ยวร้อยละ 40 และ ทาวน์เฮ้าส์ ร้อยละ 20 ซึ่งผู้ประกอบการต้องเร่งอัดโปรโมชั่น เพื่อระบายสต็อกให้มากที่สุด พร้อมทั้งต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากที่สุด
นายวิธาน กล่าวว่า จากการศึกษาพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนไทย พบว่าแม้คนไทยร้อยละ 87 อยากได้บ้านเดี่ยว แต่คอนโดมิเนียมยังตอบโจทย์เรื่องงบประมาณและไลฟ์สไตล์มากกว่า ดังนั้นคอนโดมิเนียมยังคงเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงาน โดยใช้เวลาเดินทางไม่เกิน 30 นาที ดังนั้นคอนโดมิเนียมจึงตอบโจทย์เรื่องทำเลและกำลังซื้อ ขณะเดียวกันกลุ่มเจนเอ็กซ์และเบบี้บูมเมอร์ซื้อคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุน ซื้อให้บุตรหลาน
ทั้งนี้ประเมินว่า ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยกว่าร้อยละ 52 วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยในราคา 1-3 ล้านบาท โดยร้อยละ 60ของผู้บริโภคยุคใหม่จะชอบทำเลใกล้ศูนย์การค้า ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหาร เพิ่มเติมจากเดิมที่มองแค่ทำเลใกล้รถไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว โดยโครงการที่อยู่ใกล้ศูนย์การค้า ราคาจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 15-20 นอกจากนี้ร้อยละ 90 ให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก โดยเฉพาะต้องการพื้นที่จอดรถรถยนต์ส่วนกลาง ลานกิจกรรม พื้นที่ออกกำลังกาย Co-Working Space และกลุ่มคนรุ่นใหม่กว่า ร้อยละ90 ให้ความสำคัญกับระบบเตือนภัยอัจฉริยะ ระบบควบคุมอุปกรณ์ไฟฟ้าและจัดการพลังงาน และอุปกรณ์สมาร์ทโฮมประกอบการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
ดังนั้นผู้ประกอบการจึงควรต้องเร่งสร้างความแตกต่างทั้งการออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภค เน้นใส่ใจสิ่งแวดล้อม พัฒนาแพลตฟอร์ม Prop Tech เพิ่มช่องทางดิจิทัล สื่อโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงข้อมูลและเปรียบเทียบโครงการได้ง่ายขึ้น พร้อมจับมือพันธมิตรทางธุรกิจ และ พันธมิตรต่างชาติ เช่น จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ และสตาร์ทอัพ พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆในการอยู่อาศัย ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น.- สำนักข่าวไทย