เมืองทองธานี 13 มิ.ย.-นายกฯ เปิดปฏิบัติการโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืนฯ อัดฉีดงบฯ 20,000 ล้านบาท ยันทุกโครงการจำเป็นต้องทำ ย้ำเงินกองทุนที่ลงไปต้องไม่สูญเปล่า กำชับติดตาม ประเมินผล และยกเลิกโครงการที่ไม่สัมฤทธิ์ผล ระบุภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น ฝากประชาชนช่วยตรวจสอบการใช้งบประมาณ ยินดีรับคำด่า ดีกว่าคำชมที่เคลือบยาพิษ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดปฏิบัติการโครงการพัฒนาหมู่บ้านและชุมชนอย่างยั่งยืน โดยศาสตร์พระราชาตามแนวทางประชารัฐ โดยมีนายสุวพันธ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานกรรมการกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง พร้อมคณะผู้บริหาร และประชานประมาณหนึ่งหมื่นคน เข้าร่วมงาน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้มาให้กำลังใจ สร้างความเข้าใจกัน และรู้สึกดีใจที่กองทุนหมู่บ้านมีความก้าวหน้าจากปีที่แล้วเป็นอย่างมาก เกิดจากความร่วมมือ และขับเคลื่อนด้วยพลังประชารัฐ ซึ่งต้องขอบคุณมหาวิทยาลัย 18 แห่ง ที่จะมาช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศเกิดความยั่งยืน ให้คนในประเทศมีคุณภาพ ซึ่งทุกคนต้องเรียนรู้ ทั้งการบริหารจัดการ หลักการวิธีคิด ให้ครอบครัวมีความเข้มแข็ง โดยใช้ศาสตร์พระราชา ซึ่งวันนี้ต้องทำให้ทุกอย่างมั่นคง มีมาตรการลดความเสี่ยง มีความพอเพียงและพอประมาณ และต้องรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี ด้วยการเรียนรู้ให้มากขึ้น
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลจำเป็นต้องสื่อสาร 2 ทาง นำนโยบายต่าง ๆ ลงมา เพื่อจะดูว่าปัญหามีตรงจุดใด เพื่อวางแผนพัฒนาประเทศ นำไปสู่ความมั่งคั่ง อยากให้ทุกคนเข้าใจและมีความหวังว่าประเทศจะเป็นอย่างไรใน 10-20 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นที่มาของการวางยุทธศาตร์ชาติ 20 ปี เพื่อวางกรอบการทำงานของคนทุกกลุ่ม ส่วนอีกทาง คือประชาชน ต้องเป็นผู้เสนอโครงการและแนวคิดต่าง ๆ ขึ้นมาว่าต้องการสิ่งใดบ้าง
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เงินทั้งหมดที่รัฐบาลได้มานั้น มาจากภาษีของประชาชนทั้งสิ้น ถ้าใช้เงินโดยไม่คิด เงินก็จะสูญเปล่า ดังนั้นรัฐบาลต้องคิดแผนและโครงการต่าง ๆ และเงินของกองทุนที่ลงไปต้องไม่สูญเปล่า ซึ่งเห็นได้ว่าหลายโครงการเป็นการดำเนินการที่ดี และช่วยสร้างรายได้ให้กับประชาชน และฝากให้ช่วยกันหาโครงการเพิ่มเติม และรัฐบาลจะติดตามและประเมินผล หากโครงการใดไม่มีผลสัมฤทธิ์ก็ต้องยกเลิก ดังนั้นการทำงานต้องสร้างความเข้มแข็งทั้งในส่วนของราชการและประชาชน ที่ต้องมีความเข้าใจในเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณ การเพิ่มขีดความสามารถของตัวเอง อย่างไรก็ตามต้องใช้ช่องทางการใช้เทคโนโลยี มาใช้ในการค้าขาย โดยเฉพาะสินค้าทางการเกษตรที่ทุกคนต้องเรียนรู้และปรับตัว เพื่อสร้างช่องทางการตลาดผ่านทางออนไลน์
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้วางการเชื่อมโยงระบคมนาคม ทั้งทางบก ทางน้ำและทางอากาศ ซึ่งจะมีโครงการดำเนินการก่อสร้างรถไฟทางคู่อีก 4,000 กิโลเมตร เพื่อขยายเมืองและเปิดพื้นที่ทางธุรกิจในเส้นทางใหม่ ๆ ซึ่งถ้าประชาชนไม่ร่วมมือ และไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ ก็ไม่สามารถดำเนินการได้ และอยากให้มองถึงการเสียประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่ ถือเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนเสียสละอวัยวะ เพื่อรักษาชีวิต ซึ่งหากประชาชนที่ต้องเสียที่ดินเพื่อมาทำประโยชน์ รัฐก็ต้องดูแล รัฐบาลมีหลายมาตรการในการดูแล ประชาชนทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ซึ่งในระยะยาวมีการวางแผนใน 5 ปีข้างหน้า และเรื่องกองทุนหมู่บ้านก็เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ในการเพิ่มความเข้มแข็งและกระจายรายได้
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาล ได้วางแนวทางการผลิตบุคลากร เพื่อไปสู่ศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องเริ่มพัฒนาตั้งแต่เด็กที่เกิดในปีนี้ และได้ให้ สพฐ. ไปสำรวจสถานศึกษาทั่วประเทศ ว่ายังมีเด็กนักเรียนที่จบการศึกษาในประดับประถมศึกษาปีที่ 4 อ่านหนังสือไม่ออกจำนวนกี่คน ซึ่งผู้อำนวยการโรงเรียนก็ต้องดูแลเรื่องนี้ให้ดีด้วย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น แม้หลายคนจะมองว่าไม่ดี ซึ่งรัฐบาลพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด พร้อมฝากให้เกษตรกรเกิดการรวมกลุ่มเป็นสหกรณ์ อยากให้ปรับเปลี่ยน ไม่ใช่เป็นผู้ผลิตเพียงอย่างเดียว แต่ต้องสร้างช่องทางการตลาด
“มีหลายคนไม่อยากฟังสิ่งที่รัฐบาลพูด เพราะสนใจเรื่องอื่นมากกว่า และเมื่อไม่เข้าใจสิ่งที่รัฐบาลทำ ก็จะย้อนกลับมาต่อว่ารัฐบาล ซึ่งผมยินดีรับคำด่าทุกอย่าง ดีกว่าคำชมที่เคลือบแฝงไปด้วยยาพิษ ผมมีความจริงใจกับทุกคน ไม่เคยหวังสิ่งตอบแทนใด ๆ และไม่เคยหยุดทำงาน” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ฝากให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบการใช้งบประมาณว่ามีความคุ้มค่าหรือมีการทุจริตหรือไม่ ขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้เงินจำนวนมาก แต่ตนยืนยันว่าแต่ละโครงการมีความจำเป็นที่ต้องทำ และการจัดสรรงบประมาณวันนี้ ได้กระจายไปทุกจังหวัดอย่างเท่าเทียม ไม่ใช่เรื่องการเมือง แต่ต้องการให้เกิดวามยั่งยืน ไม่อยากให้มองว่าทุกเรื่องเป็นเรื่องการเมือง ต้องนำการบ้านมาคิดว่าจะทำอะไร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ด้านสมาชิกกองทุนหมู่บ้านฯ ได้กล่าวคำปฏิญาณร่วมกัน ว่าจะร่วมมือร่วมใจกันดำเนินกิจกรรมกองทุนฯอย่างดีที่สุด ให้มีประสิทธิภาพ ด้วยความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ และให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ หมู่บ้าน ชุมชน และประชานให้มากที่สุด และจะสานพลังประชารัฐ เพื่อให้โครงการนี้ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เพื่อความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนของประเทศ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันกองทุนหมู่บ้านฯ มีทั้งสิ้น 79,595 กองทุน สมาชิกประมาณ 13 ล้านคน มีเงินทุนหมุนเวียนกว่า 3 แสนล้านบาท จากเงินจัดสรรจากรัฐประมาณ 2 แสนบาท ซึ่งในปี 2561 นี้ กองทุนหมูบ้านฯ เตรียมรับการสนับสนุนการดำเนินโครงการตามแนวทางประชารัฐ เพิ่มเติมอีก 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์กับประชาชนทั้งประเทศไม่น้อยกว่า 12 ล้านครัวเรือน .-สำนักข่าวไทย