โรงแรมเซ็นทาราศูนย์ราชการฯ 7 มิ.-ย.วงเสวนากลไกปราบโกงเลือกตั้งฯ เห็นพ้องไม่มั่นใจการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น จะไม่ถูกแทรกแซงโดยอำนาจรัฐ ห่วงการใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ “คุณหญิงสุดารัตน์” ระบุหาก กกต.จัดประชุมพรรคการเมืองยินดีเข้าร่วม หวั่นการเลือกตั้งครั้งหน้าภาระหนักอยู่ที่ กกต.มีอำนาจและกำกับดูแลไม่ได้
วันนี้ (7 มิ.ย.) ที่โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดเสวนาในหัวข้อ “กลไกปราบโกงเลือกตั้ง ใช้กับใคร ใช้ได้จริงหรือ” โดยมีนายเจษฎ์ โทณะวณิก ที่ปรึกษาคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ร่วมอภิปราย
โดยนายเจษฎ์ กล่าวว่า เงื่อนไขต่าง ๆ ที่จะทำให้การเลือกตั้งถูกลากไปอีก ไม่มีอีกแล้ว ถ้าพูดว่าจะมีการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์และยุติธรรม ตนยังไม่เห็นว่าจะมีการทุจริต แต่สิ่งที่ได้สัมผัสจากการลงพื้นที่พูดคุยกับประชาชน คือ เมื่อมีการเลือกตั้งทุกครั้งจะมีการทุจริตเลือกตั้งทุกหน่วย หากมองการเลือกตั้งทั่วประเทศมีทั้งหมด 90,000 หน่วย สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ กกต.ได้บอกว่า เจ้าหน้าที่จัดการเรื่องปัญหาดังกล่าวได้เพียงร้อยละ 1 เท่านั้นของที่เกิดปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วง ดังนั้นต้องเริ่มจากกลไกจากเสรีภาพของการตั้งพรรคการเมือง ซึ่งถ้าพรรคการเมืองนั้นไม่มีสมาชิกที่มีอุดมการณ์และจรรยาบรรณที่ดี ก็ย่อมจะมีผลต่อการคัดเลือกผู้สมัครที่เหมาะสม หรือไม่สามารถหลุดพ้นพรรคที่เป็นของนายทุน และจะกระทบต่อการทำไพมารีโหวต ซึ่งเป็นหน้าด่านของการปราบโกง เพราะจะไม่ได้ผู้สมัครที่ไม่ซื้อสิทธิขายเสียง
นายเจษฎ์ กล่าวอีกว่า กลไกหลังจากเลือกตั้งเสร็จ จะมีบทลงโทษเรื่องการแจกใบดำ ซึ่งจะมีผลตัดสิทธิ์ผู้สมัครทั้งระดับประเทศและท้องถิ่นตลอดชีวิต เทียบได้กับการประหารชีวิตทางการเมือง แต่กลไกดังกล่าวจะได้ผลหรือไม่ขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะให้ความร่วมมือกับ กกต.ได้มากน้อยแค่ไหน
“ตอนนี้รัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว ติดอาวุธให้กับประชาชนแล้ว โดยในรัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ว่าในการเลือกตั้งบางเขต ถ้ามีประชาชนไม่ประสงค์ลงคะแนนมากกว่าการประสงค์ลงคะแนนบุคคลใด ในพื้นที่นั้นจะต้องจัดการเลือกตั้งใหม่และผู้สมัครในตอนแรกก็ห้ามลง ส่วนประชาชนและข้าราชการจะเป็นกลไกที่ดีที่สุด เพราะการทุจริตของนักการเมืองจะเกิดไม่ได้ ถ้าไม่มีข้าราชการเข้ามาร่วมด้วย ดังนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าราชการทุกคนต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินเพื่อให้ตรวจสอบ” นายเจษฎ์ กล่าว
ด้านนายจุรินทร์ ยืนยันว่า มีการเลือกตั้งแน่นอน แต่จะมีเมื่อไร ต้องถามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตามกรอบรัฐธรรมนูญ คือ สูตร 3 : 3 : 5 หลังกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้งอีก 2 ฉบับ คือ เมื่อทูลเกล้าฯ เพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยระยะเวลา 3 เดือน และ 3 เดือนหลังกฎหมายลูก ส.ส.บังคับใช้ จากนั้นดำเนินการเลือกตั้งให้เสร็จสิ้นภายใน 5 เดือน แต่ห่วงเงื่อนไขนอกรัฐธรรมนูญว่าถ้าบ้านเมืองไม่สงบจะไม่มีเลือกตั้ง กลัวว่าจะมีคนนำมาใช้ ขณะเดียวกันมีผู้พูดถึงรัฐธรรมนูญปราบโกง ถ้าปราบได้จริง รัฐธรรมนูญบังคับใช้มาแล้ว 1 ปี แต่ยังมีการโกง ถ้าจะใช้ปราบโกงได้บ้างต้องใช้ควบคู่ระบอบประชาธิปไตยที่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ถ้าใช้กับระบอบที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ ก็ไม่เป็นผล
“การเลือกตั้งจะสุจริตเที่ยงธรรมได้ มีปัจจัยอย่างน้อย 3 ปัจจัย คือ กติกาต้องเป็นธรรม การบังคับใช้กติกาซึ่งรวมถึงการบังคับใช้กลไกปราบโกงด้วยต้องเป็นธรรม การใช้อำนาจรัฐของคนที่มีอำนาจต้องเป็นธรรมด้วย การเลือกตั้งครั้งหน้ามีโอกาสสุจริตเที่ยงธรรมหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่ เพราะกฎกติกาสำคัญคือรัฐธรรมนูญ ไม่สุจริตเที่ยงธรรมตั้งแต่ต้น เรื่องกติกา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญกับคำสั่ง คสช.ต่าง ๆ การใช้อำนาจรัฐของผู้มีอำนาจ เพราะเปลี่ยนสถานะจากคนเขียนกติกา จากกรรมการ มาเป็นผู้เล่น ที่สำคัญคือเป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจเหนือองค์กรอิสระ เช่น การใช้มาตรา 44 ที่ส่งผลต่อความสุจริตเที่ยงธรรมได้” นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวด้วยว่า ขอตั้งข้อสังเกตเรื่องใบส้มระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง ถ้า กกต.พบว่ามีความไม่สุจริตกับผู้สมัครรับเลือกตั้ง กกต.สามารถระงับสิทธิ์เลือกตั้งของผู้สมัครได้เป็นระยะเวลา 1 ปี จึงเป็นห่วงถ้า กกต.ใช้อำนาจสุจริตเที่ยงธรรม ก็ไม่มีอะไรน่าห่วง แต่ถ้ามีสิ่งนอกเหนือไปจากนี้ อาจจะเอื้อประโยชน์ให้กับผู้สมัครบางคนบางพรรคได้ นอกจากนี้กรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญเพิ่งจะวินิจฉัยว่าการให้กรรมการประจำหน่วยไปช่วย หรือจัดให้ไปช่วยคนพิการ ผู้สูงอายุและทุพพลภาพ ตนก็เป็นห่วง กลัวว่าจะไปช่วยกาตามเจตนารมณ์ของผู้กา เกรงจะกลายเป็นช่องทางทุจริต ขอให้ กกต.ช่วยจับตาเป็นพิเศษ อย่าให้เกิดการทุจริต
“คำถามว่ากลไกปราบโกงใช้กับใคร ใช้ได้จริงหรือ คือ ต้องใช้กับทุกคน ถามว่าใช้ได้จริงหรือ คำตอบก็ขึ้นอยู่กับ กกต. ถ้า กกต.ดำรงความเป็นอิสระ ไม่เป็นเสือหมอบ เสือกระดาษ คิดว่ากระบวนการเลือกตั้งยังมีความหวังที่จะเห็นความสุจริตเที่ยงธรรมเกิดขึ้น แม้กติกาไม่เที่ยงธรรมมาตั้งแต่ต้นก็ตาม” นายจุรินทร์ กล่าว
ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า หลายคนคงได้สัมผัสกับปัญหาด้วยตนเอง หากไปเดินตลาด คงรู้ว่าชาวบ้านตั้งความหวังกับการเลือกตั้งครั้งนี้ว่าจะสามารถทำให้หลุดพ้นจากปัญหาและอุปสรรค โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ดังนั้นตนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นทางออกได้ จึงขอฝากความหวังไว้ที่ กกต.
“การเลือกตั้งครั้งหน้า กกต.ต้องเผชิญศึกหนักกว่าทุกครั้ง เพราะนอกจากต้องเผชิญความคาดหวังของประชาชน ยังมีกติกาและปัจจัยหลาย ๆ อย่าง กกต.อาจจะกำกับเองไม่ได้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวด้วยว่า ตนมองว่าการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น มี 5 ปัจจัย คือ 1.กลไกการมีส่วนร่วมของประชาชนกับพรรค จัดให้มีการทำไพรมารีโหวต แต่วิธีการในปัจจุบันกลับไม่เอื้อให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองอย่างแข็งแรง เช่น การเซ็ตซีโร่พรรคการเมือง แบบนี้เป็นการตัดการมีส่วนร่วมของประชาชนออก ถามว่าการเซ็ตซีโร่ประชาชนได้ประโยชน์อย่างไร แถมยังแช่แข็งพรรคการเมืองไม่ให้ดำเนินกิจกรรม แล้วประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร จะปราบโกงได้ต้องเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองลงไปดำเนินการแข่งขันกันด้วยนโยบาย จะได้ไม่เกิดการซื้อสิทธิขายเสียง แต่กลับไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองต่าง ๆ ทำแบบนั้น เมื่อพรรคการเมืองทำอะไรไม่ได้ ไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมือง แต่เป็นการตัดโอกาสของประชาชนที่จะใช้พรรคการเมืองแก้ปัญหาของพวกเรา จากนี้ต้องมาดูกันว่ายังจะมีการใช้ระบบไพรมารีโหวตอยู่หรือไม่ เพราะเห็นข่าวว่าจะมีการยกเลิก
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า 2.ตัวพรรคการเมืองและนักการเมืองต้องปรับตัว ต้องพัฒนาตัวเอง ออกจากวังวนที่เขาตราหน้าว่าซื้อสิทธิขายเสียง 3.กฎหมายและกติกาต่าง ๆ มีหลายกติกาที่พิจารณาโดยใช้ดุลพินิจ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศมีปัญหาความขัดแย้งจากการใช้ดุลพินิจที่ไม่เที่ยงธรรม 4.การดำเนินงานของ กกต. และ 5.การใช้อำนาจรัฐ ที่ตนคิดว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าเราจะพบปัญหาการใช้อำนาจรัฐ ผ่านรัฐราชการ ซึ่งจะเป็นที่หนักใจของ กกต. ทั้งนี้เห็นใจมีบางองค์กรถูกเซ็ตซีโร่ บางองค์กรไม่ถูกเซ็ต ทั้งที่เป็นองค์กรอิสระเหมือนกัน ภายใต้กฎหมายเดียวกัน นี่คือการใช้อำนาจพิเศษเข้ามาแทรกแซง เช่นเดียวกับการใช้อำนาจพิเศษปลดกรรมการบางคน ซึ่งอำนาจพิเศษนี้จะอยู่ทั้งก่อนการเลือกตั้ง ระหว่างการเลือกตั้ง และหลังการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นการสร้างความหนักใจให้แก่ผู้ใช้กฎหมาย
“เมื่อวันนี้ก้าวเข้าสู่บรรยากาศของการเลือกตั้ง เป็นห่วงในเรื่องการใช้อำนาจที่อาจทำให้เกิดความไม่เที่ยงธรรม เพราะวันนี้ผู้เขียนกติกาบอกจะไม่เป็นกรรมการแล้ว แต่จะลงมาเป็นผู้เล่น ทั้งที่ยังเป็นผู้ที่ยังมีอำนาจในการตัดสิน แบบนี้จะเที่ยงธรรมได้จริงหรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นความผิดปกติ ไม่เป็นไปตามครรลอง และไม่เป็นไปตามหลักการ การเลือกตั้งครั้งหน้าจึงจะเป็นการเลือกตั้งครั้งที่หนักหน่วงสำหรับคนจัดการเลือกตั้ง กกต.ควรคุมทุกอย่างได้ แต่วันนี้ท่านกลับถูกคุมด้วยมาตรา 44 วันนี้คงไม่ใช่ปัญหาของพรรคการเมืองที่โดนยุบอยู่พรรคเดียวอีกแล้ว แต่เป็นปัญหาของทุกพรรค นอกจากพรรคที่จะไปอยู่กับผู้มีอำนาจ และเชื่อว่าด้วยศักยภาพ คุณธรรม คุณงามความดี กกต.ชุดนี้จะสามารถจัดการเลือกตั้งที่บริสุทธิ์ยุติธรรม จะเป็นฮีโร่ช่วยชาติ แม้บางอย่างท่านจะไม่สามารถกำกับดูแลได้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าว
ในช่วงท้ายของการเสวนา นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.ได้กล่าวของคุณวิทยากรที่มาร่วมแสดงความเห็น โดยระบุว่า ขอให้พรรคการเมืองไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องการปฎิบัติหน้าที่ของ กกต.ชุดนี้ ไม่ต้องกลัวว่าเราจะไปอยู่ใต้อำนาจใคร เพราะเราถูกเซ็ตซีโร่ไปแล้ว ที่อยู่เพราะมีคำสั่งให้ปฎิบัติหน้าที่ต่อ ดังนั้นการจะทำอะไรก็จะคำนึงถึงกฎหมาย เนื่องจากเมื่อต้องพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว กกต.ทั้ง 4 คนก็อยากอยู่สบาย ไม่อยากไปอยู่ในที่จำกัด และไม่ต้องกลัว เพราะถึงแม้จะมี กกต.ใหม่มา การเลือกตั้งก็จะไม่สะดุด เนื่องจากว่าตามกฎหมายใหม่ กกต.เป็นเพียงผู้กำกับดูแล ส่วนการดำเนินการเป็นหน้าที่ของสำนักงาน และขณะนี้สำนักงานก็เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว.-สำนักข่าวไทย