บาทแข็งส่งผลพีทีทีจีซีกำไร ลดลง

กรุงเทพฯ 7 พ.ค. – บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นมีผลขาดทุนจากสต็อกเล็กน้อย เมื่อเทียบกับงวดปีก่อนที่มีกำไรจากสต็อก


นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยว่า  PTTGC เผยกำไรสุทธิไตรมาส 1/61 ที่ระดับ 12,388 ล้านบาท ลดลง 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 30% จากไตรมาส 4/60 โดยมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่ 16,308 ล้านบาท ลดลง 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2% จากไตรมาสก่อน โดยมีรายได้จากการขาย 120,939 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน 

ในไตรมาส 1/61 ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องมีผลประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น โดยมีปัจจัยหลักจากสถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์โพลีโอเลฟินส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก และในไตรมาสนี้บริษัทยังได้รับผลดีจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนจากการเข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่มธุรกิจปิโตรเคมีในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนเฉพาะส่วนของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2,024 ล้านบาท และผลประโยชน์จากโครงการปรับปรุงประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร (MAX) ที่รับรู้มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถสนับสนุนผลประกอบการของบริษัทในไตรมาสนี้ แม้ว่าส่วนต่างของผลิตภัณฑ์และวัตถุดิบของธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจอะโรเมติกส์จะมีการอ่อนตัวลง ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/60 กำไรรวมสุทธิปรับตัวลดลง 6% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ค่าเงินบาทมีการแข็งค่าอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา 


สำหรับรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะสายธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ที่ได้รับผลดีจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมัน สามารถใช้กำลังการผลิตของหน่วยกลั่นน้ำมันดิบ (CDU) ที่อัตรา 102% อยู่ในระดับเดียวกันกับไตรมาส 1/60 และไตรมาส 4/60 แต่ค่าการกลั่น (GRM) ที่รวมผลกระทบจากสต็อกอยู่ที่ 6.04 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ลดลงจากระดับ 6.76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 1/60 และระดับ 7.30 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในไตรมาส 4/60 หลังมีผลขาดทุนสต็อกและขาดทุนจากตราสารอนุพันธ์เพื่อประกันความเสี่ยงสุทธิ เมื่อเทียบกับงวดปีก่อนที่ไม่มีผลขาดทุนดังกล่าว 

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ มีกำไรขั้นต้นของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์ในไตรมาส 1/61 หรือ Market P2F ต่อตันผลิตภัณฑ์สารอะโรเมติกส์ (BTX) อยู่ที่ 166 เหรียญสหรัฐ/ตัน ลดลง 48% จากงวดปีก่อน และลดลง 14% จากไตรมาสก่อน ซึ่งแม้ว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์หลักคือพาราไซลีนและเบนซีนยังคงอยู่ในระดับที่ดีแต่ส่วนต่างของผลิตภัณฑ์พลอยได้กับคอนเดนเสท โดยเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์แนฟทาและก๊าซแอลพีจีมีการปรับตัวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ Market P2F ต่อตันผลิตภัณฑ์ BTX ปรับตัวลดลง และปรับตัวลดลงอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/60 เนื่องจากในไตรมาสดังกล่าวส่วนต่างของผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์หลักปรับตัวเพิ่มขึ้นมากผิดปกติจากราคาผลิตภัณฑ์เบนซีนอย่างมีนัยสำคัญ 

สำหรับธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ราคาเม็ดพลาสติก HDPEเฉลี่ยปรับตัวเพิ่มมาอยู่ที่ 1,379 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาส 1/60 และ 12% จากไตรมาส 4/60 โดยเป็นผลจากการเติบโตของอุปสงค์ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้นประกอบกับประเทศจีนมีการดำเนินนโยบายควบคุมมลพิษทำให้ไม่สามารถใช้ผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนจากกระบวนการผลิตจากวัตถุดิบรีไซเคิลได้ ทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์โพลีเอทิลีนเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ ในขณะที่อุปทานใหม่จากโครงการในประเทศสหรัฐอเมริกายังไม่ได้มีเข้ามาใหม่ในไตรมาสนี้ โดยสเปรดผลิตภัณฑ์ HDPE กับแนฟทา ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 798 เหรียญสหรัฐ/ตัน เพิ่มขึ้น 18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 22% จากไตรมาสก่อน ด้านราคาผลิตภัณฑ์ MEG (ACP) นั้นปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 1,142 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยได้รับผลดีจากความต้องการผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ในประเทศจีนที่ยังคงอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่องและปริมาณสินค้าคงคลังที่อยู่ในระดับที่ต่ำ ด้วยปัจจัยดังกล่าวจึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานของธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องปรับตัวเพิ่มขึ้น 


PTTGC ระบุด้วยว่า แนวโน้มราคาน้ำมันในช่วงที่เหลือของปีคาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบค่าเฉลี่ยจะอยู่ประมาณ 65-70 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยคาดว่าจะได้รับปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการควบคุมกำลังการผลิตร่วมกันของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และนอกกลุ่มโอเปกที่ตกลงกันจนถึงสิ้นปี 61 และตลาดคาดการณ์ความเป็นไปได้ในการต่ออายุมาตรการดังกล่าวในปี 62 การคาดการณ์ถึงการดำเนินมาตรการคว่ำบาตรของประเทศสหรัฐอเมริกาต่อประเทศอิหร่าน และปัญหาการผลิตน้ำมันดิบที่ส่งผลทำให้การผลิตที่ลดของประเทศเวเนซุเอล่า ประเทศลิเบียและประเทศไนจีเรีย จึงคาดว่าจะส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบจะสามารถเคลื่อนไหวในช่วงราคาดังกล่าว อย่างไรก็ดีปริมาณการผลิตน้ำมันดิบที่เพิ่มขึ้นของประเทศสหรัฐอเมริกาอาจเป็นปัจจัยลบที่จะมากระทบต่อระดับราคาน้ำมันดังกล่าว โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถเดินเครื่องโรงกลั่นได้เต็มที่ในปีนี้ที่อัตรา 101% 

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ บริษัทคาดว่าส่วนต่างผลิตภัณฑ์พาราไซลีนกับแนฟทา เฉลี่ยจะอยู่ระดับประมาณ 361 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ส่วนต่างราคาเบนซีนกับแนฟทาคาดว่าจะอยู่ในระดับ 281 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยผลิตภัณฑ์พาราไซลีนคาดว่าจะยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากความต้องการของผลิตภัณฑ์ปลายทาง โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์ที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น เช่นเดียวผลิตภัณฑ์เบนซีนที่ยังได้รับปัจจัยหนุนจากความต้องการใช้เพื่อเป็นวัตถุดิบในผลิตภัณฑ์ปลายทางในส่วนของผลิตภัณฑ์สไตรีนโมโนเมอร์และผลิตภัณฑ์ฟีนอล อย่างไรก็ดีจากระดับราคาวัตถุดิบคอนเดนเสทที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ตามระดับราคาน้ำมันและกำลังการผลิตใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลังจะทำให้ส่วนต่างของราคาผลิตภัณฑ์ต่อวัตถุดิบคอนเดนเสท เป็นปัจจัยที่กดดันส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ทั้งนี้ ในส่วนของปริมาณการผลิตและการขาย บริษัทคาดว่าจะสามารถใช้กำลังการผลิตได้ดีขึ้นอยู่ที่อัตรา 91% ในปี 61 เพิ่มขึ้นจาก 80% ในปี 60 เนื่องจากในปี 60 มีการปิดซ่อมบำรุงและปรับปรุงประสิทธิภาพของโรงอะโรเมติกส์หน่วยที่ 2 

ด้านแนวโน้มสถานการณ์ธุรกิจโอเลฟินส์และผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง บริษัทคาดว่าราคาเฉลี่ยเม็ดพลาสติก HDPE จะอยู่ที่ประมาณ 1,303 เหรียญสหรัฐ/ตัน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มดีขึ้น การดำเนินมาตรการลดมลพิษและยกเลิกการใช้เม็ดพลาสติกจากกระบวนการรีไซเคิลของประเทศจีน และกำลังการผลิตใหม่จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่คาดว่าจะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่ผลิตภัณฑ์ MEG ที่คาดว่าราคาเฉลี่ย MEG ACP อยู่ที่ 991 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากยังได้รับแรงหนุนจากความต้องการจากผลิตภัณฑ์โพลีเอสเตอร์และพอลิเอทิลีน เทเรฟทาเลต (PET) โดยในส่วนของการดำเนินงานของบริษัทคาดว่าการใช้กำลังการผลิตโดยรวมจะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 60 ที่ 96% เป็น 99% ในปีนี้ แม้ว่าบริษัทมีแผนที่จะทำการหยุดซ่อมแซมโรงโอเลฟินส์ 1 ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ก็ตาม และผลิตภัณฑ์ MEG คาดว่าจะมีการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยทั้งปีที่ 107% . – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

สุดยื้อ! ด.ช.5 ขวบ น้ำหนัก 50 กก. อาหารติดคอดับ

เจ้าหน้าที่กู้ภัยพยายามปั๊มหัวใจเด็กชายวัย 5 ขวบ น้ำหนัก 50 กิโลกรัม อาหารติดคอ แต่สุดยื้อ เสียชีวิต ท่ามกลางความโศกเศร้าของครอบครัว

เจอร่างใต้ตึกถล่ม

เจออีก 4 ร่างใต้ซากตึกถล่มโซน C จ่อนำเครนยักษ์เปิดพื้นที่

กู้ภัยเจอ 4 ร่างผู้สูญหายตึกถล่ม โซน C รอส่งนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ เตรียมนำเครนเข้ายกแผ่นปูนขนาดใหญ่ เปิดพื้นที่มากขึ้น

“ไฮโซกำมะลอ” กระโดดชั้น 3 สน.โคกคราม

“ไฮโซเก๊” โลก 2 ใบ เครียดปีนตึก หลังถูก “คะน้า” ดาราสาว ออกมาแฉกลางรายการดัง จนตำรวจต้องเข้าเกลี้ยกล่อมพาไปโรงพัก แต่ยังวิ่งหนีการควบคุม กระโดดลงมาจากชั้น 3 สน.โครกคราม บาดเจ็บ

ปิดฉาก “มอเตอร์โชว์” ครั้งที่ 46 ยอดจองพุ่ง 7.9 หมื่นคัน โต 44.8%

ยอดจองรถยนต์ในงาน “บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 46” รวมทุกเซกเมนต์โตพุ่ง 44.8% หรือคิดเป็น 79,941 คัน โดยเป็น EV 65% ส่งผลให้ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปีนี้ยังคงอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ยอดผู้เข้าชมงานทั้งสิ้น 1.6 ล้านคน

ข่าวแนะนำ

ตร.ส่งสัญญาณจับตายโจรมาเลย์ชิงทอง

ตำรวจประชุมเร่งรัดคดีชายชาวมาเลเซียชิงทอง 184 บาท กลางเมืองหาดใหญ่ ย้ำใช้หลักยุทธวิธีไม่ประมาท เพราะคนร้ายมีปืน ส่งสัญญาณอย่าคิดต่อสู้ ตำรวจพร้อมป้องกันตัว

ศาล รธน.ไม่รับคำร้อง “ณฐพร” ขอสั่งฟัน กกต.ปล่อยฮั้วเลือก สว.

ศาลรัฐธรรมนูญเอกฉันท์ ไม่รับคำร้อง “ณฐพร” ขอสั่งฟัน กกต. ปล่อยฮั้วเลือก สว. เหตุไม่ใช่ผู้ถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ กกต.ทำตามกฎหมาย หากเสียหายใช้สิทธิทางศาลอื่นได้

กู้ภัยโต้กระแสข่าวอาคารยุบตัวไม่เป็นความจริง

กู้ภัยโต้กระแสข่าวอาคารยุบตัวไม่เป็นความจริง เจ้าหน้าที่เน้นใช้เครื่องจักรสลับทีมกู้ภัย คาด 2 วัน พบผู้สูญหายมากขึ้น