พม.ตั้ง กก.สอบวินัยร้ายแรง 2 ขรก.ระดับสูง

ทำเนียบฯ 30 มี.ค.-“พล.อ.ฉัตรชัย” เผยได้รับรายงาน ปลัดและรองปลัด พม.เอี่ยวทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง “พล.อ.อนันตพร” เผยตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง 2 ข้าราชการระดับสูงแล้ว พบเกี่ยวข้องอีก 26 คน ขอความร่วมมือให้การเป็นประโยชน์ เพื่อกันเป็นพยาน ชี้หลักฐานยังโยงไม่ถึงระดับรัฐมนตรี


พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการกับผู้กระทำความผิดการทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง ว่า ในวันนี้ (30 มี.ค.) พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จะสรุปและรายงานให้ได้ทราบในความคืบหน้าด้วยวาจา รวมถึงตั้งกรรมการสอบวินัย ปลัดและรองปลัด พม. เพราะการตรวจสอบขั้นต้น พบมีมูลความผิด

“ในวันนี้จะเป็นการรายงานด้วยวาจา หลังจากนี้ในวันจันทร์ที่ 2  เมษายน 2561 จะสรุปในภาพรวม เป็นเอกสารทั้งหมดตามข้อกำหนดครบ 30 วัน และหลังจากนั้นจะรายงานผลให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบต่อไป” พล.อ.ฉัตรชัย กล่าว


เมื่อถามถึงการตั้งคณะกรรมการสอบสวนฯ ซึ่งมีข้าราชการที่อยู่ในระดับเดียวกันเป็นกรรมการสอบสวนและถูกตั้งข้อสังเกตว่าควรจะมีกรรมการสอบที่มีระดับสูงกว่าหรือไม่ พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า เป็นระเบียบปฎิบัติอยู่แล้ว ซึ่งอาจจะมีกรรมการอื่นเข้าไปเสริม ทั้งจากสำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานอื่น ๆ เข้าร่วม

เมื่อถามว่านอกเหนือจากปลัดและรองปลัด พม. แล้วยังมีบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องอีกหรือไม่ พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า รายละเอียดจะออกมาทีละรอบ กระบวนการตรวจสอบ จะมีเป็นลำดับขั้น คนไหนมีมูล จะมีการตั้งกรรมการสอบ

เมื่อถามว่ามีข้อมูลหรือรายชื่อผู้ทุจริตในรอบต่อไปแล้วหรือไม่ พล.อ.ฉัตรชัย กล่าวว่า หลังจากมีการส่งทีมลงไปตรวจสอบ หลายจังหวัดมีมูล และเตรียมตั้งกรรมการตรวจสอบขั้นที่ 2 ต่อไป คาดว่าจะมีเพิ่มเติมเป็นระยะ ส่วนจะมีการสั่งย้ายใครออกนอกพื้นที่ก่อนหรือไม่นั้น ขอรอการชี้แจงรายละเอียดก่อน ล็อตแรงไม่ถือเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู แต่ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และเมื่อกรรมการสอบเบื้องต้น ก็ดำเนินการไปตามขั้นตอนเช่นกัน


พล.อ.อนันตพร เปิดภายหลังหลังเข้าพบ พล.อ.ฉัตรชัย ว่า ได้รายงานข้อมูลความคืบหน้าการตั้งคณะกรรมการสอบสวนการทุจริตเงินสงเคราะห์คนไร้ที่พึ่ง โดยคณะกรรมการฯ ได้รายงานผลการสอบสวนปลัดและรองปลัด พม.มาตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม 2561 ซึ่งพบว่า 2 ข้าราชการมีมูลความผิดจริง ตนจึงได้ลงนามคำสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยร้ายแรง เมื่อวานนี้ (29 มี.ค.) โดยมีนายสุภัทร จำปาทอง เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เป็นประธานสอบฯ ซึ่งจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นอกจากนี้ได้รับรายงานเบื้องต้นว่ามีกลุ่มผู้บริหารระดับสูง ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เกี่ยวข้องการทุจริต จำนวน 26 คน ซึ่งอยู่ระหว่างการสอบข้อเท็จจริง จะแบ่งออกเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง ผู้ที่จะป็นพยาน และผู้ที่บกพร่องในการทำงาน ไม่ใช่ทุกคนจะมีความผิด แต่ต้องสอบ เพราะมีความเชื่อมโยงกัน 

“บางคนอาจตกใจว่าทำไมถึงมีรายชื่อถูกตั้งกรรมการสอบด้วย ขอย้ำว่าหากมีชื่อไม่ต้องตกใจ ถ้าไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิด หากโดนสั่งให้ทำก็มาเป็นพยานได้ และเมื่อตรวจสอบว่าการเป็นพยานเป็นข้อมูลที่ถูกต้อง ไม่ได้ใส่ร้ายป้ายสี เป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ คณะกรรมการฯ ก็จะกันตัวไว้เป็นพยานได้เลย หากผู้ใดให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เป็นข้อเท็จจริง จะกันไว้เป็นพยานเพื่อให้โทษหนักจะเป็นเบา แม้ว่าจะมีรายชื่อยู่ในการสอบสวนก็ตาม ตอนนี้อยากให้ทุกคนร่วมมือ หากมาให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และต้องโดนลงโทษ ก็จะเป็นการลงโทษตามเหตุแห่งโทษนั้น เรื่องนี้จะดำเนินการตามกระบวนการ ขั้นตอนที่ผ่านมาถือว่าครบถ้วนแล้ว จากนี้ขั้นตอนต่อไปก็อยู่ที่กรรมการจะทำหน้าที่สอบต่อว่าใครเกี่ยวข้องมาก ใครเกี่ยวข้องน้อย” พล.อ.อันตพร กล่าว

เมื่อถามว่า ปลัดและรองปลัด พม.จะถูกกันไว้เป็นพยานหรือไม่ พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า ถือเป็นผู้บริหารระดับสูง คงกันไว้เป็นพยานยาก แต่จะต้องล้างข้อกล่าวหาด้วยตนเองให้ได้ว่าไม่ผิดเพราะอะไร เพราะที่ผ่านมามีการซัดทอดและอ้างว่ามีการส่งเงินให้ผู้บริหาร จึงเป็นหน้าที่ที่ต้องแก้ข้อกล่าวหาว่าไม่ได้รับเงิน หรือสั่งให้ส่งเงิน ก็แค่นั้น

เมื่อถามว่ามีการซัดทอดถึงระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงหรือไม่ พล.อ.อนันตพร กล่าวว่า เบื้องต้นยังไม่มีความเชื่อมโยง เพราะอำนาจจบแค่อธิบดีเท่านั้น อำนาจไม่ถึงปลัดกระทรวงด้วยซ้ำ แต่ปลัดกระทรวงถือว่ามีอำนาจในการปบริหาร คือเรื่องการกำกับดูแล

“บางคนที่สอบสวนก็ไม่ได้มีเรื่องโยงไปถึง แต่บางคนเป็นผู้อำนวยการกองที่รับผิดชอบเงิน ต้องนำเรียนผู้บริหารตามลำดับชั้นในการอนุมัติ ก็จะถือว่าบกพร่องไปด้วย แต่จะถือว่าเป็นการบกพร่องในการปฎิบัติหน้าที่ และยังไม่ได้ถูกกล่าวหาว่าทุจริต ดังนั้นหากมีเหตุว่าต้องทำตามคำสั่ง ก็สามารถให้การมาได้ และจะถูกกันไว้เป็นพยานเช่นกัน” พล.อ.อนันตพร กล่าว

เมื่อถามว่ารัฐมนตรีว่าการที่กำกับดูแลจะต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือไม่ พล.อ.อนัตพร กล่าวว่า การดำเนินการ ถือว่าอยู่ในขั้นของข้าราชการประจำ รัฐมนตรีดูในระดับนโยบาย หากจะให้รับผิดชอบ ก็พูดได้ เพราะมีส่วนด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ยังไม่มีอะไรโยงถึง ปลัดก็ยังไม่โยงถึง เพราะเรื่องของเรื่องเงินตัวนี้เป็นเรื่องของอำนาจอธิบดี 100 เปอร์เซ็นต์ ขณะนี้โยงอยู่แค่นี้.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]