เจ้าสัวซีพีหนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 กระตุ้นเอกชนพัฒนาไอที

กรุงเทพฯ 7 ต.ค. – เจ้าสัวธนินท์ หนุนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 ใช้หุ่นยนต์อัจฉริยะ แทนแรงงาน ผลิตสินค้า 24ชั่วโมง ย้ำนโยบาย 3ประโยชน์ในการลงทุนต่างชาติ


นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) กล่าวปาฐกถาในหัวข้อ “พันธมิตรระดับโลกในยุคโลกานิยม”  ในงาน Global Business Forum ของนิเคอิ เอเชีย 300 ว่า การเปลี่ยนแปลงประเทศไทยภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 โดยมุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมสู่เทคโนโลยีใหม่ ถือว่าเป็นโอกาสของไทยและอาเซียน โดยเฉพาะไทยจะได้ประโยชน์ เพราะเป็นประเทศศูนย์กลางของอาเซียนและติดกับจีนและอินเดีย ดังนั้นผู้ประกอบการต้องปรับตัวและปรับธุรกิจให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี เช่นการปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรยานยนต์สู่รถยนต์ไฟฟ้าและ ยานยนต์ไร้คนขับ การใช้หุ่นยนต์แทนแรงงานมนุษย์ ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

ซึ่งทางเครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้ปรับแนวทางการผลิตสู่การสร้างโรงงานไร้แรงงานมนุษย์ในสหภาพยุโรป โดยใช้หุ่นยนต์และเทคโนโลยีใหม่มาควบคุมการผลิตแทน รวมทั้งการค้นคว้าวิจัยไบโอเทคโนโลยี มาผลิตสินค้าเกษตรกึ่งอาหารให้มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  ส่วนการลงทุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในประเทศด้อยพัฒนา ไม่มีความเป็นห่วงว่าจะผลิตอาหารไม่ได้ เพราะเครือเจริญโภคภัณฑ์ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพียงแค่การกดปุ่มก็สามารถผลิตอาหารเป็นจำนวนมาก เพื่อรองรับปริมาณประชากรโลกที่จะเพิ่มขึ้นมากในอนาคต เครือเจริญโภคภัณฑ์ ไม่กังวลว่าจะเกิดภาะขาดแคลนอาหาร แต่เป็นห่วงภาวะเงินฝืดเนื่องจากปริมาณอาหารจะล้นโลกเกินความต้องการของมนุษย์มากกว่า


นายธนินท์ กล่าวด้วยว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ ได้จับมือเป็นพันธมิตร กับบริษัท อิโตชู  คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นบริษัทการค้ายักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อผลิตอาหารสำหรับผู้สูงอายุ ป้อนให้กับสถาบันรับดูแลผู้สูงอายุในญี่ปุ่นของอิโตชู ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุมีอายุยืนยาวและมีสุขภาพที่แข็งแรง แต่จะไม่ลงทุนเกี่ยวกับการสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงอายุและอุปกรณ์ต่างๆ  เนื่องจากญี่ปุ่นความเชี่ยวชาญและใช้หุ่นยนต์เข้ามาดูแลผู้สูงอายุได้ดีอยู่แล้ว

นายธนินท์ย้ำว่า การลงทุนของเครือเจริญโภคภัณฑ์ในประเทศต่างๆ ใช้หลัก 3 ประโยชน์ คือ เกิดประโยชน์กับประเทศที่ลงทุน เกิดประโยชน์กับประเทศที่ไปลงทุน และเกิดประโยชน์กับเครือเจริญโภคภัณฑ์ ซึ่งหมายถึงประเทศไทยได้ประโยชน์ด้วย และขณะนี้เครือเจริญโภคภัณฑ์ได้สร้างศูนย์ฝึกอบรมผู้นำ โดยคัดผู้บริหารจากกลุ่มงานต่างๆ มาอบรมจากพนักงานทั้งหมด 300,000 คน เพื่อสร้างคนให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง และมีการกระจายอำนาจในกลุ่มผู้บริหาร โดยประยุกต์ความรู้จากอาจารย์ของแจ็ค เวลซ์ ซึ่งเป็นผู้บริหารสูงสุดของบริษัทเจเนรัล อิเล็กทริคส์ หรือ GE  มาใช้ให้เหมาะสมกับเอเชีย เพราะพนักงานคือมันสมองของธุรกิจ โดยพนักงานที่ดีต้องมีความสามารถ มีคุณธรรม

นายธนินท์ เชื่อว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะฟื้นตัวได้เร็วที่สุด เนื่องจากสหรัฐมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า มีกฎหมายที่คล่องตัวได้เปรียบประเทศอื่นๆ ขณะที่ประเทศญี่ปุ่นจะฟื้นตัวเป็นประเทศที่สอง และมีโอกาสแซงหน้าสหรัฐและเป็นผู้นำเศรษฐกิจโลกได้ หากญี่ปุ่นกล้าเสี่ยงทางธุรกิจมากขึ้น และปรับให้คล่องตัวมากขึ้น ส่วนจีนจะฟื้นตัวเป็นประเทศที่สาม เพราะสถานการณ์การเมืองนิ่งมีความต่อเนื่องของนโยบายและเศรษฐกิจมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก โดยรัฐบาลต้องเปิดโอกาสให้เอกชนจีนกู้เงินเพื่อลงทุนธุรกิจ เนื่องจากรายได้ของรัฐบาลจีนร้อยละ 60 มาจากเอกชน และอีกร้อยละ 40 มาจากรัฐวิสาหกิจ และในจีนเต็มไปด้วยธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยเฉพาะธุรกิจบริการ.- สำนักข่าวไทย


 

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ล่าหนุ่มโมร็อกโก ฆ่าโหดหมอแซมมี่ เผ่นหนีฮ่องกง

ตำรวจประสานตำรวจสากล เร่งล่าตัวแฟนหนุ่มชาวโมร็อกโก ผู้ต้องสงสัยฆ่าโหดหมอแซมมี่ แพทย์ความงามสาวสอง เจ้าของคลินิกเวชกรรมชื่อดังเชียงใหม่ พบเผ่นหนีไปฮ่องกงแล้ว

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชวนลงทุนซิม-ตู้เติมเงิน

ผู้เสียหายร้องตำรวจ ปคบ.ตรวจสอบบริษัท K4 ชักชวนลงทุนซิมและตู้เติมเงิน อ้างสิทธิ กสทช. พบมีผู้เสียหาย 5,000 ราย มูลค่าความเสียหาย 2,000 ล้านบาท

รถตู้กลับจากแข่งเรือเสียหลักชนต้นไม้ ดับ 4 เจ็บ 9

สลด! รถตู้กลับจากแข่งเรือยาวที่ จ.ปทุมธานี เสียหลักพุ่งชนต้นไม้ บนถนนสายลำปาง-งาว จ.ลำปาง เสียชีวิต 4 ราย บาดเจ็บ 9 ราย

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

สถาบันประสาทฯ ชี้นวดต้นคอเสี่ยงอันตราย เหตุเป็นศูนย์รวมอวัยวะสำคัญ

สถาบันประสาทวิทยา ชี้นวดต้นคอเสี่ยงอันตราย เพราะเป็นศูนย์รวมอวัยวะสำคัญ มีทั้งหลอดเลือด และกระดูก ไม่ได้มีแต่กล้ามเนื้อ นวดผิดชีวิตเปลี่ยน ตั้งแต่อัมพฤกษ์ อัมพาต จนเสียชีวิต

“แม่น้องผิง” ติดใจการตายของลูกสาว วอนร้านนวดรับผิดชอบ

แม่นักร้องสาว “ผิง ชญาดา” ติดใจการเสียชีวิตของลูกสาว อยากให้เจ้าของร้านนวดแสดงความรับผิดชอบ เผยมีลูกสาวคนเดียว เป็นเสาหลักของครอบครัว ด้านเพจ “หมอไทยสตอรี่” เตือนนวดบริเวณคอผิดวิธี เสี่ยงเส้นเลือดเสียหาย-กระดูกสันหลังเคลื่อน-เส้นประสาทถูกทำลาย แนะหากมี 4 อาการหลังนวด ควรพบแพทย์ด่วน

ตร.ทองหล่อ บุกทลายปาร์ตี้ไฮโซกลุ่มลับ พบยาเสพติด

ตำรวจทองหล่อบุกทลายปาร์ตี้ไฮโซกลุ่มลับในโรงแรมย่านคลองเตยเหนือ พบกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ตรวจค้นพบยาเค ยาอีจำนวนหนึ่ง จึงคุมตัวนักท่องเที่ยวทั้งหมดไปตรวจหาสารเสพติด

อุทาหรณ์นวดบิดคอ! นักร้องสาวเสียชีวิตแล้ว

อุทาหรณ์นวดบิดคอ! นักร้องสาวเข้าร้านนวดแบบบิดคอ ก่อนมีอาการตัวชา-ร่างกายอ่อนแรง กลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง ล่าสุดเสียชีวิตแล้ว