กรุงเทพฯ 16 ธ.ค.-เกิดอุบัติเหตุรถกระบะขนคนงานถูกรถเก๋งชนท้ายบนทางด่วนฉลองรัช มีผู้บาดเจ็บ 13 คน และเสียชีวิต 1 คน
พ.ต.ท.พลัฏฐ์ ทับทิม รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สน.ทางด่วน 1 รับแจ้งมีอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก บนทางด่วนพิเศษฉลองรัช เขตสายไหม ที่เกิดเหตุเป็นถนน 4 เลน บริเวณทางขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าจตุโชติ กม.22+900 ฝั่งขาออก ที่เลนซ้ายสุดพบรถยนต์นั่งส่วนบุคคลยี่ห้อมาสด้าสีแดง ทะเบียน กฉ 988 ปทุมธานี สภาพรถหน้ารถพังยับเยิน มีนายวาที ช้างพลายเพชร เป็นคนขับ ได้รับบาดเจ็บบริเวณหน้าอก ห่างไป 100 เมตร พบรถกระบะ ยี่ห้อโตโยต้าสีขาว ทะเบียน 2ฒข 8384 กรุงเทพมหานคร สภาพโดนชนท้ายรถด้านขวา ข้างตัวรถได้รับความเสียหายจากการกระแทกแท่งแบริเออร์ข้างทาง ภายในรถพบนายนิมิตร ทะหมุน เป็นคนขับ ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย และยังมีคนงานเป็นชาย 1 คน นั่งอยู่ข้างคนขับหมดสติอยู่ภายในรถ เจ้าหน้าที่ต้องนำตัวออกมาช่วยเหลือ ก่อนที่ชายดังกล่าวจะเสียชีวิตในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ บริเวณที่เกิดเหตุโดยรอบมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวน 13 คน เจ้าหน้าที่ปฐมพยาบาลก่อนนำผู้บาดเจ็บทั้งหมดส่งโรงพยาบาลพญาไทนวมินทร์ 8 คน โรงพยาบาลนพรัตน์ 4 คน และโรงพยาบาลสายไหม 1 คน
จากการสอบถามนายวาที กล่าวว่า ตนมีอาชีพเป็นเซลล์แมนของบริษัทแห่งหนึ่ง ก่อนเกิดเหตุกำลังเดินทางกลับที่พักย่านปทุมธานี หลังเพิ่งจะกลับจากการออกบูธย่านสีลม เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุเกิดอาการวูบ ก่อนจะมารู้สึกตัวอีกทีรถของตนก็ชนท้ายกระบะอย่างแรง จนทำให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตดังกล่าว
ด้านนายนิมิตร กล่าวว่า ตนเพิ่งรับคนงานทั้งหมดมาจากย่านประตูน้ำ เพื่อไปทำงานที่ย่านสายไหม เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุขณะกำลังขับรถอยู่ที่เลนซ้ายสุด ก็มีรถยนต์พุ่งชนด้านท้ายรถอย่างแรง จนทำให้รถเสียหลักชนเข้ากับข้างทาง
พ.ต.ท.พลัฏฐ์ กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งข้อหากับผู้ใด เพราะต้องรอสอบปากคำผู้บาดเจ็บก่อน ซึ่งหลังจากนี้จะให้โรงพยาบาลที่รถยนต์ทั้ง 2 คัน รักษาตัวอยู่ตรวจเลือด เพื่อหาปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดว่ามีหรือไม่ และต้องตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณที่เกิดเหตุ ก่อนจะนำมาสรุปสำนวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ส่วนชายที่เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าวขณะนี้ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นใคร เนื่องจากไม่พบเอกสารระบุตัวตน ซึ่งจะต้องนำศพส่งนิติเวชโรงพยาบาลตำรวจ ชันสูตรหาสาเหตุของการเสียชีวิต และพิสูจน์บุคคลจากลายนิ้วมือว่าผู้ตายเป็นใคร เพื่อติดต่อญาติให้มารับศพไปบำเพ็ญกุศลต่อไป-.สำนักข่าวไทย