กกต.ลงนามความร่วมมือพัฒนาระบบลงคะแนนนอกราชอาณาจักร

22กกต. 12 ต.ค.-กกต.ลงนามความร่วมมือพัฒนาระบบลงคะแนนนอกราชอาณาจักร หรือ I-Vote นำร่อง 3  ประเทศ “โอซาก้า นอร์เวย์ จอร์แดน”  เชื่อได้นำมาใช้ในการเลือกตั้ง  ส.ส.ปลายปี 2560 พัฒนาต่อเนื่องหลัง 5 ปี  คนไทยในต่างประเทศเลือกตั้งทางเน็ตได้ทุกคน


ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันนี้  (12  ต.ค.) ว่า กกต.ได้ลงนามในความร่วมมือกับ 5 หน่วยงาน  เพื่อจัดทำระบบการลงคะแนนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต หรือ I-Vote ประกอบด้วย กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ, สำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน), สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)  และ กกต. โดยมีนายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต. นายบุญส่ง น้อยโสภณ และนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. เข้าร่วมในพิธีลงนามครั้งนี้

ในการลงนาม พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รองเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง รักษาการแทนเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เป็นตัวแทนของสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการลงนามความร่วมมือกับตัวแทนของหน่วยงานอีก 4 หน่วยงาน ได้แก่ นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองอธิบดี ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย, นายวราวุธ ชูวิรัช อธิบดีกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ, นายศักดิ์ เสกขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานรัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) และนางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน)


ทั้งนี้ความร่วมมือการจัดทำระบบการลงคะแนนเลือกตั้งนอกราชอาณาจักรทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะนำร่องใช้ระบบใน 3 ประเทศ คือ นอร์เวย์ จอร์แดน และญี่ปุ่น โดยประเทศนอร์เวย์และจอร์แดนจะนำร่องใช้ระบบ I-Vote ทุกเมืองทั่วทั้งประเทศ ส่วนประเทศญี่ปุ่น จะทดลองใช้ระบบดังกล่าวเฉพาะเมืองโอซาก้าเท่านั้น เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงการลงคะแนนได้ง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้น โดยผ่านระบบออนไลน์ และยังนับเป็นก้าวแรกของการพัฒนาระบบการเลือกตั้งเพื่อรองรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอนาคต ซึ่งจะทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตัวและมีความสะดวกในการใช้สิทธิเลือกตั้งอีกด้วย

33สำหรับแนวคิด I- Vote เป็นการพัฒนาอีกขั้น จากที่ทดลองใช้บัตรประชาชนสมาร์ทการ์ดลงทะเบียนใช้สิทธิ์การออกเสียงประชามติที่ จ.ลพบุรี และฉะเชิงเทรา การใช้ I-Vote ครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนในต่างประเทศลงคะแนนเลือกตั้งได้สะดวกขึ้น โดยผ่านโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานที่ร่วมลงนามความร่วมมือครั้งนี้ เพื่อให้เข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้มากที่สุดและลดค่าใช้จ่าย และสอดคล้องกับการปรับเปลี่ยนเนื้อหาในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ขยายรูปแบบวิธีการลงคะแนนนอกเหนือจากการใช้บัตรลงคะแนนอีกด้วย

จากเดิมวิธีการลงคะแนนสำหรับคนไทยในต่างประเทศถูกกำหนดโดยเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนั้น ๆ เช่น การกาบัตรในคูหาที่สถานทูต การส่งบัตรทางไปรษณีย์ หรือการกาบัตรที่หน่วยเคลื่อนที่ ซึ่งมีปัญหาคือส่งบัตรกลับประเทศไทยไม่ทัน เพราะงานไปรษณีย์ในประเทศนั้นล่าช้า ไม่ถึงมือผู้รับ ทั้งที่ต้องใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้เกิดความไม่คุ้มค่า จึงเกิดแนวคิดใช้อิเล็กทรอนิกส์มาเสริมเพื่อสอดรับกับการใช้เทคโนโลยีก้าวเข้าสู่โลกดิจิตอล นำระบบการลงทะเบียน และการลงคะแนนเพื่อเพิ่มช่องทางลงคะแนน สะดวกรวดเร็ว คุ้มค่า


นายสมชัย กล่าวว่า เหตุที่เลือก 3 ประเทศเป็นการนำร่อง เพราะจากการลงทะเบียนคนไทยผู้ใช้สิทธิ์ครั้งก่อน มีคนไทยใน 3 พื้นที่มีจำนวนแห่งละประมาณ 1,000 คน  เมื่อเฉลี่ยใน 350 เขตเลือกตั้งแล้วมียอดราวเขตละ 8-10 คนเท่านั้น หากเกิดปัญหาขึ้น ก็จะไม่กระทบต่อผลการเลือกตั้งในแต่ละเขต

นายสมชัย กล่าวอีกว่า ในส่วนของระบบ จะต้องมีการวางวิธีการอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความรัดกุม บนเป้าหมายให้เกิดความสะดวก ประหยัด และเชื่อถือได้ ไม่ให้ใช้สิทธิ์ซ้ำซ้อน หรือการใช้สิทธิ์แทนกัน เช่น จะต้องมีรหัสโค๊ท มีการยืนยันคอมพิวเตอร์ต้นทางว่าไม่ใช่การใช้สิทธิ์แทนกัน และต้องเป็นเครื่องที่อยู่ต่างประเทศเท่านั้น คาดว่าการออกแบบระบบจะเสร็จสิ้นประมาณเดือนมิถุนายน 2560 และเชื่อว่าน่าจะได้นำมาใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกปลายปี 2560 ตามโรดแมป

“คาดว่าใน 5 ปีแรก จะใช้ระบบ I – Vote สำหรับต่างประเทศเป็นทางเลือกผสมกับรูปแบบอื่น ๆ เช่น หน่วยลงคะแนนเคลื่อนที่ จนเมื่อระบบเสถียร เป็นที่เชื่อถือ ก็จะให้ระบบการใช้สิทธิ์ทางอินเทอร์เน็ตเป็นระบบเดียว เพราะลดค่าใช้ลงจาก 30 ล้านบาท เหลือเพียงราว 5 ล้านบาทเท่านั้น โดยในครั้งแรกจะใช้งบประมาณจากสำนักงบประมาณเพื่อวางระบบครั้งแรก ทั้งการวางโปรแกรม การสร้างความปลอดภัย การไปดูการใช้งานจริงราว 15 ล้านบาท จากนั้นเมื่อระบบเดินหน้าแล้ว เชื่อว่าค่าใช้จ่ายต่อหัวจะต่ำมาก” นายสมชัย กล่าว.-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ตั้ง กก.สอบ 7 ตำรวจ บก.จร.ทำร้ายลูกชายอดีต ตร. พ่อยันเอาเรื่องถึงที่สุด

กองบังคับการตำรวจจราจร ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรง 7 ตำรวจ บก.จร. รุมทำร้ายลูกชายอดีตตำรวจ พ่อและน้องสาวยืนยันไม่ยอมความ เอาเรื่องถึงที่สุด พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย

ครอบครัวผู้เสียหายที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เผยอาการยังสาหัส ยันไม่ยอมความ แม้มีกระเช้าปริศนามาให้แล้ว 3 กระเช้า พร้อมท้าตำรวจทั้ง 7 นาย เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผยพฤติกรรมตัวเอง ด้าน รอง ผบช.น. ยันตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่กระทำไป

ครอบครัวของผู้บาดเจ็บที่โดนตำรวจ 7 นาย รุมทำร้าย เดินทางไปพบพนักงานสอบสวน และชุดสืบสวนของ สน.บางเขน ก่อนเดินไปชี้จุดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งด่าน และเป็นจุดเดียวกับที่ตำรวจพาผู้บาดเจ็บเข้ามาจอดรถไว้หลังก่อเหตุทำร้ายร่างกาย เพื่อตรวจสอบว่ารถของผู้บาดเจ็บเป็นรถคันเดียวกับที่ได้ขับแหกด่านหรือไม่ โดยก่อนการชี้จุด พ่อและน้องสาวของผู้ได้รับบาดเจ็บเดินทางมาพร้อมกับร้อยเวร สถานีตำรวจนครบาลบางเขน เจ้าของพื้นที่ เพื่อชี้จุดและให้ข้อมูลกับตำรวจเพิ่มเติม ระหว่างรอตัวผู้บาดเจ็บพักรักษาตัวจนสามารถเข้าให้การกับตำรวจได้

นางสาวธนัชตา น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกว่า พี่ชายยังต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล จุดที่น่าเป็นห่วงคือบริเวณศีรษะทั้งหมด โดยเฉพาะดวงตาขวามีเลือดออก การมองเห็นยังไม่ปกติ ส่วนตามร่างกายมีร่องรอยฟกช้ำ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีส่วนใดต้องผ่าตัด

เหตุการณ์ครั้งนี้รู้สึกรับไม่ได้ ยืนยันจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ไม่ว่าจะเข้าข้อกฎหมายข้อไหนพร้อมจะต่อสู้ มองว่าเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ เพราะพี่ชายของตนไปคนเดียวและไม่มีอาวุธ แต่คู่กรณีเป็นถึงตำรวจ และมีด้วยกันถึง 7 นาย ทันทีที่รู้เรื่องตนเองรีบเดินทางมาที่ด่านทันที พยายามสอบถามว่าตำรวจนายไหนเป็นคนทำพี่ชายของตนเอง แต่ไม่ได้รับคำตอบ ซึ่งพี่ชายพยายามบอกแล้วว่าไม่ใช่คนขับรถหนีด่าน

นางสาวธนัชตา ยังฝากถึงตำรวจตั้งด่านทุกนายว่าทุกคนมีกล้องติดหน้าอก ตนเองพยายามขอดูแต่มีการอ้างว่ากล้องเสียบ้าง เปิดไม่ได้บ้าง จึงอยากฝากไปถึงตำรวจตั้งด่านในวันนั้นทุกนายให้เอากล้องติดหน้าอกออกมาเปิดเผย เพื่อเป็นการยืนยันเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะเหตุการณ์วันนั้นตนเองก็มีหลักฐาน รวมถึงพยานคือคนที่เข้าด่านตรวจก็เห็นทุกคนว่าเหตุการณ์ตรงนั้นเกิดอะไรขึ้น อยู่ที่ตำรวจจะกล้าหรือไม่กล้า

น้องสาวผู้บาดเจ็บ บอกอีกว่าเมื่อวานนี้ (4 ธ.ค.) มีกระเช้าผลไม้-ดอกไม้ปริศนา ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของใคร หรือของตำรวจสังกัดใดบ้างนำมาเยี่ยม ขอย้ำว่าไม่ขอรับกระเช้า เพราะไม่สามารถรู้ได้เลยว่านำเอามาให้ด้วยเหตุผลอะไรแอบแฝง

ด้าน พันตำรวจโท ธนชัย เกิดศรี หรือสารวัตรเจี๊ยบ อดีตพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ บก.ปทส. ซึ่งเป็นพ่อของผู้บาดเจ็บ เปิดเผยว่า ในฐานะที่ตนเคยเป็นอดีตตำรวจกองบังคับการตำรวจจราจรมาก่อนไปอยู่ บก.ปทส. ตามปกติแล้วตำรวจมีขั้นตอนในการใช้ยุทธวิธีเพื่อจับผู้ต้องหาด้วยเครื่องพัฒนาการอยู่แล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงที่เกินกว่าเหตุแบบนี้ กรณีหากผู้ต้องหามีการต่อสู้หรือขัดขวาง ตำรวจไม่มีสิทธิที่จะไปรุมทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด ซึ่งจะพยายามเลี่ยงการใช้กำลังให้น้อยที่สุด การจับกุมตำรวจต้องมีการแสดงตัวเป็นตำรวจ พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าทำอะไรผิด จากนั้นจะเชิญตัวมาที่ด่านหรือโรงพักในพื้นที่ เพื่อดำเนินการสอบปากคำและพิจารณาแจ้งข้อกล่าวหาในภายหลัง

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่คาดคิดว่าจะมาเกิดขึ้นในยุคสมัยนี้ เพราะมีโซเชียลเป็นหูเป็นตา ยืนยันว่าจะไม่มีการเจรจาไกล่เกลี่ย แม้ว่าจะให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงลงมาพูดคุยก็ตาม เมื่อวานนี้ทางพยาบาลแจ้งว่ามีตำรวจนำกระเช้ามามอบให้แล้ว 3 กระเช้า แต่ตนไม่รับ เพราะไม่รู้ว่ามาด้วยวัตถุประสงค์อะไร และไม่รู้ว่าเป็นของหน่วยงานใด เนื่องจากพยาบาลแจ้งแค่ว่าเป็นตำรวจเท่านั้น

ส่วนความคืบหน้าคดี พันตำรวจเอก อนันต์ วรสาตร์ ผู้กำกับการ สน.บางเขน ให้ข้อมูลว่า เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สอบปากคำน้องสาวและแม่ของผู้บาดเจ็บในฐานะพยาน ส่วนผู้บาดเจ็บตอนนี้แพทย์ยังไม่อนุญาตให้พนักงานสอบสวนเข้าไปสอบปากคำ เนื่องจากยังอยู่ในอาการสาหัส

ส่วนกรณีผู้ก่อเหตุทั้ง 7 นายที่เป็นตำรวจ ตอนนี้ยังไม่มีการสอบปากคำ เนื่องจากพนักงานสอบสวนอยากทราบพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ก่อเหตุจากผู้เสียหายก่อน ยืนยันว่าจะไม่มีการช่วยเหลือแม้ว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุจะเป็นตำรวจก็ตาม

ด้าน พลตำรวจตรี ธวัช วงศ์สง่า รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ซึ่งดูแลรับผิดชอบงานจราจร ให้ข้อมูลกับทีมข่าวว่า เบื้องต้นผู้บังคับการตำรวจจราจรกลาง รายงานมาเบื้องต้นว่าผู้ก่อเหตุที่เป็นตำรวจทั้ง 7 นาย บอกว่ามีการเข้าใจผิด คิดว่าจะขับรถแหกด่านจึงมีการตามไป ก่อนที่ผู้เสียหายจะมีการขัดขืน ทำให้ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องใช้กำลังในการระงับเหตุ ยอมรับว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุจริงๆ ตอนนี้ทราบว่ากองบังคับการตำรวจจราจรมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบวินัยร้ายแรงขึ้นแล้ว ส่วนทางคดีอาญาอยู่ที่ สน.บางเขน

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตำรวจทั้ง 7 นาย ต้องชี้แจงและยอมรับกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป รวมทั้งอาจจะต้องทบทวนเรื่องยุทธวิธีที่่ใช้ในการระงับเหตุ แต่ยืนยันว่าตำรวจไม่เคยมีวิธีระงับเหตุด้วยการทำร้ายร่างกายแต่อย่างใด.-414-สำนักข่าวไทย

สุดจึ้ง! ซาลาเปาแฟนซีแฮนด์เมด รายได้ครึ่งล้านต่อเดือน

“คุณจารุวรรณ” วัย 78 ปี พร้อมครอบครัว ช่วยกันคิดค้นสูตรซาลาเปาแฟนซีเป็นเจ้าแรกใน จ.ตรัง ส่งขายทั่วทุกภาคของประเทศ สร้างรายได้เดือนละ 450,000-500,000 บาท และมีแผนส่งออกไปขายยังต่างประเทศในต้นปีหน้า

เจ้าของคลินิกซิ่งชนไรเดอร์ตกสะพานเสียชีวิต

เจ้าของคลินิกเสริมความงามชื่อดัง ซิ่งเบนซ์ชนไรเดอร์หญิง ตกสะพานต่างระดับย่านพระรามสี่ เสียชีวิต วัดปริมาณแอลกอฮอล์ผู้ก่อเหตุ สูงเกินกฎหมายกำหนด

เปิดให้สักการะ “พระเขี้ยวแก้ว” วันแรก

ริ้วขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุพระเขี้ยวแก้ว ถึงยังมณฑลพิธีท้องสนามหลวงแล้ว พร้อมเชิญชวนประชาชนสักการะ วันนี้ (5 ธ.ค.) วันแรก ตั้งแต่ 07.00 น.เป็นต้นไป

ข่าวแนะนำ

แข่งเรือใบ ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า

ทะเลภูเก็ตคึกคัก เรือใบร่วม 200 ลำ จากทั่วโลก ร่วมแข่งขันรายการ “ภูเก็ตคิงส์คัพรีกัตต้า” และร่วมสร้างสีสันการท่องเที่ยว ที่สำคัญปีนี้ยังเป็นปีที่ 2 ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี เสด็จฯ มาร่วมแข่งขันด้วย

ยังไร้วี่แววส่ง 4 ลูกเรือประมงกลับไทย

เมียนมาเงียบกริบ! ยังไร้วี่แววส่งตัว 4 ลูกเรือประมงกลับไทย จนท.ในพื้นที่เผยจนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการประสานใดๆ ที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเมียนมา มีเพียงการประสานจากเนปิดอว์มายังเกาะสองด้วยวาจาเท่านั้น

นายกฯ ยันไม่ปรับ VAT เป็น 15% ย้ำรับฟังทุกภาคส่วน

“นายกฯ แพทองธาร” ยืนยัน ไม่ปรับ VAT เป็น 15% ชี้ ก.คลัง กำลังศึกษาปรับโครงสร้างภาษี ต้องมองทั้งระบบลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ขอให้มั่นใจการทำงานของรัฐบาลรัดกุม