นนทบุรี 21 ต.ค. – พาณิชย์ใช้ตลาดสร้างความเข้มแข็ง ลดความเหลื่อมล้ำ และเพิ่มรายได้ท้องถิ่น มั่นใจเป็นพื้นฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากสำคัญ
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์แปลงนโยบายการขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากของรัฐบาลสู่การปฏิบัติ โดยใช้การพัฒนาตลาดหลายรูปแบบเป็นกลไกขยายช่องทางจำหน่ายให้ผลผลิตทางการเกษตร สินค้าชุมชนและท้องถิ่น เพื่อยกระดับเศรษฐกิจฐานรากและสร้างรายได้สู่ชุมชนทั่วประเทศ พร้อมจับมือหน่วยงานพันธมิตรพัฒนาเกษตรกร ผู้ผลิต และผู้ค้ารายย่อยในชุมชนสู่การเป็นผู้ประกอบการ 4.0
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ดำเนินนโยบายรัฐบาลเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ สร้างรายได้ สร้างเศรษฐกิจชุมชนให้เข้มแข็ง ประชาชนมีความสุข โดยมุ่งส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรและตลาดชุมชน เพื่อขยายช่องทางการจำหน่าย อาทิ การจัดตั้งตลาดชุมชนภายใต้ชื่อ “ตลาดต้องชม” โดยพัฒนาตลาดชุมชนเดิมที่มีอัตลักษณ์ สะท้อนวิถีชุมชน มีเอกลักษณ์พาณิชย์ และจำหน่ายสินค้าราคายุติธรรมและปริมาณเที่ยงตรง รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และผู้ประกอบการท้องถิ่นนำสินค้าในพื้นที่มาจำหน่ายให้ประชาชนโดยตรง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้เพิ่ม ก่อให้เกิดความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจท้องถิ่น ปัจจุบันมี ตลาดต้องชมอยู่ทั่วทุกภูมิภาค 148 แห่ง ก่อให้เกิดการท่องเที่ยวช่วยให้ตลาดชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นหลายร้อยล้านบาท
ส่วนการจัดตั้งตลาดเฉพาะสินค้า (Magnet Market) เชื่อมโยงผลผลิตเด่นจากแหล่งผลิตสู่ผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวโดยตรง เช่น ตลาดทุเรียน ปัจจุบันเปิดตลาดแล้ว 4 แห่ง จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต อุดรธานี และกรุงเทพฯ การพัฒนาศูนย์จำหน่ายสินค้าเกษตรชุมชน (Farm Outlets) เพื่อเป็นแหล่งหรือศูนย์กลางให้เกษตรกรนำผลผลิตเกษตรและผลิตภัณฑ์ชุมชนมาจำหน่าย ปัจจุบันมีศูนย์ฯ รวมทั้งสิ้น 42 แห่ง ใน 24 จังหวัด ก่อให้เกิดมูลค่าการจำหน่ายสินค้ารวมกว่า 300 ล้านบาท การจัดตั้งตลาดประชารัฐชายแดน โดยปรับปรุงให้ตลาดในพื้นที่มีมาตรฐานและผลักดันให้เป็นตลาดที่ทำการซื้อขายสินค้าของประชาชนในพื้นที่ และส่งเสริมให้ประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาซื้อขาย เพื่อขยายมูลค่าการค้าชายแดน โดยจะนำร่องตลาดประชารัฐไทย-ลาว เป็นแห่งแรก นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังส่งเสริมตลาดสินค้าเกษตรอินทรีย์ เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลผลิตการเกษตรผ่านการเข้าร่วมงานแสดงและจำหน่ายสินค้าอินทรีย์ระดับภูมิภาคและระดับประเทศ (Organic & Natural Expo 2017 ) รวมทั้งจัดตั้งหมู่บ้านเกษตรอินทรีย์ (Organic Village) เพื่อสนับสนุนเกษตรกรให้มีการผลิตสินค้าตามมาตรฐานและมีความรู้ด้านการตลาดอินทรีย์โดยเฉพาะ
นางอภิรดี กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงต่อไปกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะขยายจำนวนตลาดเพิ่ม เพื่อให้ครอบคลุมชุมชนมากขึ้น พัฒนาตลาดรูปแบบใหม่ พร้อมต่อยอดตลาดให้เชื่อมโยงกับภาคธุรกิจท่องเที่ยว ขณะเดียวกันจะมอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเร่งผลักดันให้เกิดการเชื่อมโยงการรับซื้อตลอดห่วงโซ่อุปทาน ให้คำปรึกษาแก่เกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจท้องถิ่นให้สามารถผลิตสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาด ขยายช่องทางการตลาดทั้งในและนอกพื้นที่ ตลอดจนจัดการอบรมให้แก่ผู้ผลิต ผู้ค้า ผู้ประกอบการในชุมชนและเกษตรกรสามารถก้าวสู่การเป็นผู้ประกอบการ 4.0 โดยผ่านสถาบันพัฒนาผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ (NEA : New Economy Academy) ของกระทรวงพาณิชย์.-สำนักข่าวไทย