พรรคประชาธิปตย์ 9 ก.ย.-รองโฆษก ปชป. ระบุ หน่วยงานราชการและเอกชน ควรศึกษาคำพิพากษาคดีรับจำนำข้าวจีทูจี เพราะมีหลายประเด็นก่อให้เกิดประโยชน์ เพื่อยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดินบนหลักความถูกต้อง
นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกคณะทำงานด้านกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีคำพิพากษาคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ว่า คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยทุกคนยังได้สิทธิตามรัฐธรรมนูญที่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ แต่จากคำพิพากษามีหลายประเด็นที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ในการศึกษาและยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดินที่จะต้องอยู่บนหลักความถูกต้อง คำพิพากษาได้ชี้ให้เห็นชัดหลายประเด็น ทั้งฝ่ายการเมืองได้ร่วมมือกับฝ่ายข้าราชการประจำและเอกชนอย่างไรบ้าง การระบายข้าวที่อ้างว่าเป็นการซื้อขายแบบจีทูจี มีการวางแผนแก้ไขยุทธศาสตร์การระบายข้าว เพื่อให้บริษัทที่ไม่ใช่เป็นผู้รับมอบหมายจากสาธารณรัฐประชาชนจีนได้เข้าทำสัญญาในการซื้อขายข้าว โดยมีการแอบอ้างว่าบริษัทดังกล่าวได้รับมอบหมายจากรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน และที่สำคัญมีการซื้อขายกันในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดและมีการซื้อขายกันหน้าคลัง โดยการสั่งจ่ายเงินเป็นแคชเชียร์เช็คจากคนที่อยู่ในประเทศไทยกว่า 1,000 ฉบับ เพื่อให้มีการนำข้าวมาเวียนเทียนซื้อขายกันในประเทศ ซึ่งการซื้อขายข้าวใน 4 สัญญา มีมูลค่าการซื้อขายถึง 70,549,222,014 บาท ซึ่งคำพิพากษาระบุไว้ชัดว่า เป็นการปฏิบัติและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
“กระบวนการทั้งหมดมีการร่วมมือกันหลายฝ่าย ซึ่งข้าราชการประจำต้องศึกษาคำพิพากษาฉบับนี้ จะเห็นสัจธรรมว่าอย่าได้เกรงใจกับคำสั่งของผู้มีอำนาจ ที่สั่งให้ทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะไม่เช่นนั้น คนที่รับผลกรรมก็คือ ข้าราชการเอง และเอกชนก็เช่นกัน จะเป็นบทเรียนครั้งสำคัญว่าอย่าได้คิดร่วมมือในการทุจริตกับนักการเมือง ข้าราชการ เพราะผลคดีนี้จะเห็นได้ว่าโทษหนักพอสมควร หลายฝ่ายควรศึกษาคำพิพากษาฉบับนี้ โดยเฉพาะรัฐบาลควรอธิบายชี้แจงในสิ่งที่เป็นประโยชน์บ้าง เพราะอย่างน้อย คือมาตรการบทลงโทษที่เป็นผลดีในการป้องปรามการทุจริตในชาติบ้านเมือง” นายราเมศ กล่าว.-สำนักข่าวไทย