สปป.ลาว 3 ก.ย.- สปป.ลาวใช้ยุทธศาสตร์ผลิตไฟฟ้าเป็นแบตเตอรีแห่งอาเซียน
สร้างรายได้ช่วยพ้นประเทศด้อยพัฒนาปี2663 โดยมีศักยภาพผลิตไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า32,000
เมกะวัตต์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างพิธีเปิดโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
เซน้ำน้อย 2 – เซกะตำ 1 ในแขวงจำปาสักเมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งมี นายสอนไซ
สีพันดอน รองนายกรัฐมนตรี แห่ง สปป. ลาว เป็นประธาน โดยนายคำมะนี อินทิลาด
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานและบ่อแร่ กล่าวว่า รัฐบาล สปป.ลาวตั้งกำหนดยุทธศาสตร์พัฒนาประเทศให้หลุดพ้นประเทศด้อยพัฒนาในปี
2563 ซึ่งเรื่องพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าเพื่อส่งออกในภูมิภาคอาเซียนเป็นแผนสำคัญ
โดยตั้งเป้าผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ 2.6-2.7 หมื่นเมกะวัตต์,โรงไฟฟ้าถ่านหิน5
พันเมกะวัตต์ นอกจากนี้ยังมีผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และโครงการก่อสร้างสายส่ง500
KVเชื่อมโยงภาคเหนือ กลางและใต้ ในจำนวนนี้เป็นการขายไฟฟ้าแก่ไทย โดยลงนามข้อตกลงเบื้องต้น
(MOU)9 พันเมกะวัตต์, มีการลงนามMOU
กับเวียดนาม5 พันเมกะวัตต์ และจะมีการลงนามกับ เมียนมาร์และ
กัมพูชาในเร็วนี้ โดยปัจจุบัน (ปี2560)สปป.ลาวมี โรงไฟฟ้า47 แห่ง
กำลังผลิต 1,930 MW ประชากรมีไฟฟ้าราว94.18
%เพิ่มขึ้นจากปี2553ที่มี12 โรงไฟฟ้าพลังน้ำ กำลังผลิต1,930 MW ประชากรมีไฟฟ้าใช้70%
“ปัจจุบันผลิตไฟฟ้าใช้เอง2,000MW ที่เหลือส่งออกจากกำลังผลิต6,757
MW นับเป็นการช่วยพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชน
โดยการผลิตไฟฟ้าเราคำนึงถึงความยั่งยืน สิ่งแวดล้อม
และวางเป้าหมายให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ไม่ต่ำกว่า97% ของจำนวนประชากร”นายคำมะนีกล่าว
ทั้งนี้โรงไฟฟ้าพลังน้ำ เซน้ำน้อย 2 – เซกะตำ 1
เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (ลาว) จำกัด
บริษัทในเครือบีกริมเพาเวอร์และบริษัท เอสวี กรุ๊ป จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในบริษัทวิศวกรรมชั้นนำในประเทศ
สปป.ลาว ไฟฟ้าที่ผลิตได้จากโครงการนี้จำนวน 20.1 เมกะวัตต์ มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA)
กับการไฟฟ้าประเทศ สปป.ลาว (EDL) เป็นเวลายาว
25 ปี ต่อได้อีก 25 ปี สัมปทานที่ดิน
50 ปี ต่อได้อีก 50 ปี นอกจากนี้บริษัทฯยังได้สัมปทานในโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำลักษณะเดียวกันอีก
7 แห่ง คิดเป็นกำลังการผลิตรวม 113 เมกะวัตต์
และยังศึกษาโครงการอื่นๆรวมทั้งการก่อสร้างสายส่งตามนโนบายของรัฐบาลลาวอีกด้วย
นายฮาราลด์ ลิงค์ ประธาน บี.กริม
และกลุ่มบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ เปิดเผยการเปิดโรงไฟฟ้าเซน้ำน้อย 2 และ เซกะตำ 1
ซึ่งตั้งอยู่ในสปป.ลาว
ซึ่งถือเป็นการช่วยส่งเสริมการลงทุนของประเทศให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
และยังสร้างรายได้แก่บริษัทฯให้เติบโตและมั่นคงทุกปี
เนื่องจากมีสัญญาซื้อขายที่แน่นอน สัมปทานชัดเจน เมื่อโรงไฟฟ้าสร้างเสร็จและเริ่มผลิตก็จะสร้างรายได้ในทันที
ซึ่งจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก ที่มีรายได้จากการขายและการให้บริการ
15,615 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% จากปีก่อน
นอกจากนี้บริษัทฯได้เลือกสรรเทคโนโลยีเพื่อให้การผลิตพลังงานไฟฟ้าเป็นไปตามมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดีและทันสมัย
โดยได้นำระบบการจัดการสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐานมาใช้ในการจัดการสิ่งแวดล้อมของโรงไฟฟ้า
โดยกลุ่มบีกริมและพันธมิตรจะช่วยกันเสริมธุรกิจซึ่งกันและกันโดยบริษัทวางเป้ไปาหมายขยายตัวในอาเซียนทั้งด้านโรงไฟฟ้าและสายส่ง
นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำอีก 7 แห่ง
ที่อยู่ระหว่างดำเนินการในลาวคือ 1) โรงไฟฟ้าน้ำแจ 1 ตั้งอยู่ในแขวงไชยสมบูรณ์
มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 15 เมกะวัตต์
คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในไตรมาส 4 ปี 2561 2) โรงไฟฟ้าน้ำคาว 1-5
ตั้งอยู่ในแขวงเชียงขวาง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 68 เมกะวัตต์
คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ใน ปี 2562 โรงไฟฟ้า น้ำคาว 1-5 ตั้งอยู่ใน
แขวงเชียงขวาง มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 68 เมกะวัตต์
คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ใน ปี 2562 และ 3) โรงไฟฟ้าทัดสะกอยตั้งอยู่ในแขวงสุวรรณเขต
มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 30 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในปี
2564 โดย 7 โครงการที่เข้ามาใหม่ ยังไม่รวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเซกอง 4
กำลังการผลิตไฟฟ้า ราว 300-400
เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าแบบเขื่อน โดย บี.กริม เพาเวอร์ จะทำร่วมกับบริษัท
ผลิตไฟฟ้าราชบุรี โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) โดยโครงการดังกล่าว บี.กริม เพาเวอร์
มีสัดส่วนในการถือหุ้น 25%
ปัจจุบัน บริษัทฯ
ลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 44 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,482 เมกะวัตต์ โดยมีโครงการโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วรวมทั้งสิ้น
30 โครงการ มีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,646 เมกะวัตต์
และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและอยู่ระหว่างการพัฒนา 14 โครงการ
มีกำลังการผลิตติตตั้งรวม 836 เมกะวัตต์-สำนักข่าวไทย
