บีโอไอคาดปีนี้นักธุรกิจไทยลงทุนต่างประเทศ 10,000 ล้านดอลลาร์

กรุงเทพฯ16 ส.ค.-บีโอไอหนุนผู้ประกอบการไทยออกลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน 6 ประเทศ ส่วนภาพรวมการออกไปลงทุนต่างประเทศปีนี้ จะมียอดลงทุนรวม 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 


นางหิรัญญา สุจินัย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ กล่าวในการสัมมนา Thailand Oversea Investment Forum 2017 ว่า เพื่อบรรลุเป้าหมายนโยบายประเทศไทย 4.0 รัฐบาลจึงยกระดับการเติบโตทางเศรษฐกิจประเทศ ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี พร้อม ส่งเสริมผู้ประกอบการออกไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านอาเซียน 6 ประเทศเป้าหมาย ได้แก่ เมียนมาร์ ลาว เวียดนาม กัมพูชา อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งบีโอไอ อยู่ระหว่างจัดตั้งสำนักงานส่งเสริมการลงทุนในประเทศเวียดนามที่กรุงฮานอยและที่กรุงจาการ์ต้าประเทศอินโดนีเซีย คาดว่า จะเปิดให้บริการในปีหน้า ซึ่งเจ้าหน้าที่บีโอไอ จะทำงานร่วมกับทีมไทยแลนด์ในประเทศนั้น ๆ ขณะที่ประเทศเมียนมาร์ จะอยู่ในรูปโมบายยูนิตทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือกนักลงทุนไทย 

เหตุผลที่สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากประเทศไทยมีค่าแรงสูงกว่า ในขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรฐษกิจต่ำกว่าประเทศเพื่อน การไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านจึงช่วยให้มีโอกาสทางธุรกิจมากขึ้น โดยผู้ประกอบการไทยจะได้รับโอกาสไปตั้งฐานการผลิต เพื่อแก้ปัญหาทั้งด้านแรงงาน วัตถุดิบและพลังงาน ปัจจุบันมีนักลงทุนผ่านการอบรม “หลักสูสร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” มาแล้ว 11 รุ่น มากกว่า 400 ราย โดย 89 รายไปลงทุนในต่างประเทศแล้ว และบีโอไอ ยังนำผู้อบรมหลักสูตรฯ รุ่นที่ 12-13 จำนวน 70 รายเดินทางไปศึกษาโอกาสและลู่ทางลงทุนในลาวและเวียดนามมาแล้ว 


นายโชคดี แก้วแสง รองเลขาธิการ บีโอไอ กล่าวว่า ตัวเลขจัดเก็บโดยที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา (อังค์ถัด) ระบุว่า ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศภาพรวมในปีที่ผ่านมา มียอดรวม 13,229 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 463,015 ล้านบาท ประเทศที่นักลงุทุนไทย ออกไปลงทุนมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งส่วนมากเป็นการลงทุนเพื่อออกไปลงทุนต่อในประเทศอื่น รองลงมาคือ เข้าไปลงทุนในประเทศญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีนและฮ่องกง ตามลำดับ

ส่วนปีนี้ ภาพการออกไปลงทุนในต่างประเทศบีโอไอคาดว่า จะมียอดรวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขการออกไปลงทุนปรับขึ้นลงตามการออกไปลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการออกไปลงทุนในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเพื่อนบ้าน การลงทุนของไทยในประเทศเพื่อนบ้านเติบโตขึ้น 


ส่วนมูลค่าการลงทุนของไทยในอาเซียนปี 59 ข้อมูลจากธนาคารแก่งประเทศำทย(ธปท.) พบว่า มียอดรวมอยูที่ 874,193 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 29 ของเงินลงุทนในต่างประเทศทั้งหมด ประเทศในอาเซียนที่ไทยเข้าไปลงทุนมากที่สุดได้แก่ สิงคโปร์ รองลงมาคือ เวียดนาม มาเลเซีย และลาว ตามลำดับ ขณะที่อุตสาหกรรมที่ไทยออกไปลงทุนได้แก่ กิจการผลิตเช่น อาหาร เคมีภัณฑ์ เครื่องดื่ม รองลงมาคือ การค้าส่ง ค้าปลีก การเงินและการประกันภัย การทำเหมืองแร่และเหมืองหิน รวมถึงการก่อสร้าง 

นายสมเกียรติ ตั้งกิจวานิชย์ ประธานสถาบันวิจัยเพื่อาการพัฒนาประเทศไทย(ทีดีอาร์ไอ) กล่าวว่า ประเทศไทย จะมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับร้อยะ 3 ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบ มีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่สูงกว่าอยู่ในระดับร้อยละ 6-8 ในช่วง 4-5 ปีข้างหน้า การเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน จะให้โอกาสในการขยายตลาดขนาดใหญ่แก่ผู้ประกอบการไทย และยังได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าจากประเทศกลุ่มสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาเป็นต้น ซึ่งสิทธิประโยชน์ดังกล่าว ประเทศไทยที่มีอยู่แทบจะหมดลงไปแล้ว นอกจากนี้ การออกไปลงทุนในต่างประเทศ ยังช่วยแก้การขาดแคลนแรงงานและแก้ปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบได้ได้ 

ตัวอย่างโอกาสธุรกิจในอาเซียนที่ผู้ประกอบการไทยจะออกไปลงทุนได้ เช่น อาหารแปรรูป ผักผลไม้พรีเมี่ยม สินค้าอุปโภค-บริโภค โรงพยาบาล ร้านอาหาร พลังงาน วัสดุก่อสร้างเฟอร์นิเจอร์ ไลฟ์สไตล์ การขนส่ง การผลิตที่ใช้แรงงาน ไอที และการศึกษา-การฝึกอบรม 

สำหรับการเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน แบ่งเป็น 2 กรณี กรณีเข้าไปลงทุนเพื่อมุ่งเข้าถึงตลาดในประเทศเพื่อนบ้าน และกรณีเน้นการผลิตเพื่อส่งออกไปประเทศที่ 3 โดยกรณีเข้าถึงตลาด จะต้องเตรียมพร้อมลงทุนระยะยาว หาช่องว่าแข่งขันกับเจ้าตลาดรายใหญ่ โดยเฉพาะอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ร่วมมือกับผู้กระจายสินค้าหรือคู่ค้าที่มีแนวคิดตรงกัน และมีจุดแข็งเสริมกัน เข้าใจความแตกต่างของกำลังซื้อและพฤติกรรมการบริโภคในแต่ละพื้นที่ในประเทศใหญ่ มีพนักงานไปประจำ เพื่อให้เข้าใจตลาดอย่างแท้จริง ส่วนกรณีเน้นการผลิตเพื่อส่งออกไปประเทศที่ 3 การลงทุนควรลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมหรือ SZE เพื่อลดปัญหาที่ดิน และยังจะได้รับสิทธิประโยชน์จากการลงทุนมากกว่า อีกทั้งช่วยลดอุปสรรค์ด้านกฎระเบียบได้-สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

“บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดังเปิดใช้ชื่อวัดรับบริจาค แต่วัดเบิกไม่ได้

บช.ก. 6 ส.ค. – “บิ๊กเต่า” ชี้พิรุธหมอดูชื่อดัง เปิดรับบริจาค ใช้บัญชีชื่อวัด แต่หมอดูเบิกได้คนเดียว ตามกฎหมายทำไม่ได้ ต้องนำบัญชีมาตรวจสอบเส้นเงิน พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) เปิดเผยถึงกรณีที่มีหมอดูชื่อดังได้เปิดรับบริจาคเงินโดยใช้บัญชี ชื่อวัดพระบาทน้ำพุ แต่คนที่สามารถถอนเงินออกจากบัญชีได้คือหมอดูคนดังกล่าว ทำให้ประชาชนเกิดข้อสงสัยว่า ทำไมเปิดรับบริจาคใช้ชื่อวัดแต่วัดถอนเงินไม่ได้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า ตอนนี้มีผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมที่ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปราม เรื่องหมอดูคนดังกล่าว และได้มีการพูดคุยกับผู้กำกับกอง 1 ซึ่งกำลังตรวจสอบอยู่ มีการอ้างว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาส อยู่ระหว่างการตรวจสอบ และจะต้องมีการเช็คว่านำเงินไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และเจ้าอาวาสนำเงินไปใช้อะไร เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีนี้จะเข้าข่ายคดีฉ้อโกงหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่า คิดว่าน่าจะเข้าข่ายคดีฉ้อโกง แต่ก็ต้องตรวจสอบดูว่าเงินที่รับบริจาคมาเอาไปให้เจ้าอาวาสจริงหรือไม่ และถ้าเอาไปให้จริง เจ้าอาวาสนำเงินไปใช้จ่ายอะไรบ้าง ผู้สื่อข่าวถามอีกว่ากรณีที่หมอดูคนดังกล่าว นำชื่อวัดมารับบริจาคเงินแต่หมอดูคนดังกล่าวกับเบิกเงินได้คนเดียว ทั้งที่ชื่อในบัญชีที่รับบริจาคเป็นชื่อวัดกระทำได้หรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ บอกว่าทำไม่ได้ ถ้าใช้ชื่อบัญชีรับบริจาคเป็นชื่อวัดก็ต้องนำเงินไปให้วัดแล้วคนที่เบิกได้ก็ต้องเป็นวัดเท่านั้น เพราะเป็นเงินวัด เดี๋ยวจะต้องมีการนำบัญชีดังกล่าวมาตรวจสอบว่าเงินที่เข้าในบัญชีเท่าไหร่และวัดได้เท่าไหร่ และการรับบริจาคในลักษณะนี้ ต้องมีกรรมการวัดในการตรวจสอบบัญชี ให้ละเอียด ไม่ใช่อยากรับบริจาคก็จะทำได้เลย. -415-สำนักข่าวไทย

บุกค้นบริษัท ยึดโดรน-อุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น

กทม. 6 ส.ค.-ตำรวจกองปราบ ร่วมกับ กสทช. บุกค้นบริษัทใน จ.สมุทรปราการ ยึดโดรน และอุปกรณ์ตัดสัญญาณรวมกว่า 200 ชิ้น ตำรวจกองบังคับการปราบปราม ร่วมกับเจ้าหน้าที่ กสทช. และพนักงานสืบสวนจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้นบริษัทแห่งหนึ่ง ในอำเภอเมืองสมุทรปราการ หลังพบขัอมูลว่ามีบริษัทแห่งนี้ผลิตอุปกรณ์ และมีอากาศยานไร้คนขับโดรนไว้จำนวนมาก ต่อมาเมื่อแสดงหมายเพื่อขอตรวจค้น นายกฤษนันท์ ได้แสดงตัวเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทดังกล่าว เป็นผู้นำตรวจค้น จากการตรวจค้นพบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน 29 เครื่อง, กระเป๋าตรวจจับสัญญาณ 38 อัน, ปืนรบกวนสัญญาณ 129 กระบอก, เครื่องรบกวนสัญญาณ 16 เครื่อง, รถตู้สำหรับตรวจจับและรบกวนสัญญาณ 1 คัน และอุปกรณ์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอีก 50 รายการ โดยของกลางทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บไว้ที่กองบังคับการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อนำไปตรวจสอบความถี่ และเอกสารที่เกี่ยวข้อง สำหรับบริษัทดังกล่าว ตำรวจให้ข้อมูลว่า มีเจ้าของโรงงานเป็นคนสัญชาติสิงคโปร์ และมีกรรมการเป็นชาวไทยร่วมด้วย ประกอบกิจการผลิตอุปกรณ์ และอากาศยานไร้คนขับโดรน.-สำนักข่าวไทย

มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงิน

กทม 5 ส.ค.-มหาดไทย เตรียมชง ครม. เด้ง 2 อธิบดีสายน้ำเงินอีก “ขจรเกียรติ” ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา ผงาดคุมที่ดิน “เชษฐา” คุม ปภ. โยก “ภาสกร” นั่งผู้ว่าฯ ระยอง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ กระทรวงมหาดไทย เตรียมเสนอให้ ครม.พิจารณาเห็นชอบรวม 5 ตำแหน่ง ประกอบด้วย นายพรพจน์ เพ็ญพาส อธิบดีกรมที่ดิน เป็นรองปลัดกระทรวงมหาดไทย นายเชษฐา โมสิกรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าฯ ฉะเชิงเทรา เป็นอธิบดีกรมที่ดิน นายภาสกร บุญญลักษม์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นผู้ว่าฯ ระยอง และนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าฯ ระยอง เป็นผู้ว่าฯ เพชรบุรี.-319.-สำนักข่าวไทย

เปิดปฏิบัติการค้น 200 จุด ล่าพระทำผิดกฎหมาย

กทม. 5 ส.ค.-ตำรวจสอบสวนกลาง เปิดปฏิบัติการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ลุยค้น 200 จุดทั่วประเทศ ไล่ล่าจับพระทำผิดกฎหมาย 181 เป้าหมาย ล่าสุดจับพระวัดดังย่านคลอง 6 ปทุมธานี พบเอี่ยวองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ในฐานะหัวหน้าศูนย์ป้องกันปราบปรามภัยคุกคามและเสริมสร้างความมั่นคงทางพระพุทธศาสนา สั่งการ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. นำกำลังเจ้าหน้าที่หน่วยงานในสังกัด บช.ก. เปิดปฏิบัติการกวาดลานวัด เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย กว่า 200 จุด เพื่อจับกุมผู้ต้องหาคดีต่างๆ อาทิ ยักยอกทรัพย์ ฟอกเงิน เมาแล้วขับ หรือ มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการยาเสพติด รวมไปถึงองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ที่หลบหนีมาบวชเป็นพระซ่อนตัวตามวัดต่างๆ ทั่วประเทศ โดยกลุ่มผู้ต้องหาที่เป็นเป้าหมายหลักของปฏิบัติการครั้งนี้ มีด้วยกันทั้งหมด 181 ราย แบ่งเป็น ผู้ต้องหาที่ยังมีสถานะเป็นพระ 154 ราย ในจำนวนนี้มีพระตำแหน่งสูงสุดเป็นระดับเจ้าอาวาส ส่วนผู้ต้องหาที่เคยเป็นพระแต่สึกไปแล้วมีทั้งหมด 27 ราย ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการเข้าดำเนินการจับกุม อย่างไรก็ตามขณะนี้มีรายงานว่า จากปฏิบัติการดังกล่าวขณะนี้เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาคนสำคัญได้รายหนึ่งแล้ว […]

ข่าวแนะนำ

ศาลอาญาฯ อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท”

กรุงเทพฯ 7 ส.ค. – ศาลอาญาพระโขนง อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว “ไฮโซลูกนัท” ตีราคาประกัน 100,000 บาท หลังตำรวจนำตัวฝากขัง คดียาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พนักงานสอบสวน สน.คลองตัน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาพระโขนง ฝากขังครั้งที่ 1 นายธนัตถ์ หรือ ไฮโซลูกนัท อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาคดีกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ โดยศาลอนุญาตฝากขังตามคำร้อง ซึ่งวันนี้ผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว ตีราคาประกัน 100,000 บาท โดยผู้ต้องหานำเงินสดเป็นหลักประกันตนเอง.-สำนักข่าวไทย

รมว.ต่างประเทศ ย้ำทูตไทยทั่วโลกแจงผลประชุม GBC

7 ส.ค. – รมว.ต่างประเทศ ถกทูตไทยทั่วโลก ชื่นชมผลประชุม GBC กำชับทูตไทยทั่วโลกทำงานเชิงรุก เดินหน้าชี้แจงข้อเท็จจริง บนพื้นฐานของหลักฐานเชิงประจักษ์ ชี้ “ความจริงจะชนะทุกสิ่ง” นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานการประชุมแบบออนไลน์ ร่วมกับ เอกอัครราชทูตไทย ผู้แทนสถานเอกอัครราชทูต และคณะผู้แทนถาวรไทยในต่างประเทศจาก 70 ประเทศทั่วโลก และกรมต่างๆ เพื่อชี้แจงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ทั้งผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป General Border Committee หรือ GBC ที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมอบนโยบายและแนวทางในการดำเนินการของกระทรวงฯ และสำนักงานในต่างประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์ชายแดนดังกล่าวอย่างบูรณาการร่วมกัน นายมาริษ กล่าวถึงผลของการประชุม GBC และข้อตกลงที่เห็นพ้องร่วมกันทั้ง 13 ข้อ ว่าเป็นพัฒนาการและก้าวสำคัญสำหรับการเจรจาการหยุดยิง บรรลุเป้าหมายที่ต้องการในเบื้องต้น ซึ่งต้องขอบคุณมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ณ ที่นี้ด้วย โดยกระทรวงพร้อมให้การสนับสนุนกระทรวงกลาโหมในการดำเนินการเจรจาต่อไป ซึ่งที่ผ่านมาได้สนับสนุนการดำเนินงานของกระทรวงกลาโหม และทำงานร่วมกันอย่างใกล้ ตั้งแต่การเป็นฝ่ายเลขาฯ การร่างเพื่อเสนอกรอบข้อตกลง โดยหลังจากนี้ไทยพร้อมเปิดรับการเจรจาทวิภาคีผ่านช่องทางทางการทูต เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหม ภายใต้เงื่อนไขว่าฝ่ายกัมพูชาเคารพและดำเนินการตามข้อตกลงของการเจรจาหยุดยิงต่อไป […]

ชาวบ้านยังไม่วางใจ แม้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

อุบลราชธานี 7 ส.ค. – ชาวบ้านในพื้นที่ชายแดน จ.อุบลราชธานี ยังไม่วางใจสถานการณ์ แม้ผลประชุม GBC ไทย-กัมพูชา ทั้ง 2 ชาติเห็นพ้องข้อตกลงหยุดยิงแล้ว ค่ำคืนนี้หลายหมู่บ้านยังคงมีคำเตือนให้ออกนอกพื้นที่ หลังบางส่วนทยอยกลับเข้ามา .-สำนักข่าวไทย

กต.อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก

กระทรวงการต่างประเทศ 7 ส.ค. – กต. นำผลประชุม GBC อัปเดตสถานการณ์ไทย-กัมพูชา กับทูตไทยทั่วโลก เพื่อชี้แจงรัฐบาล-องค์การระหว่างประเทศ พร้อมประเมินระดับความเข้าใจของนานาชาติถึงสถานการณ์ ป้องกันการบิดเบือนข้อมูล นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวเกาะติดพัฒนาการสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยได้สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee : GBC) ไทย-กัมพูชา สมัยวิสามัญ ซึ่งนำโดย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม หัวหน้าคณะผู้แทนไทย โดยมีผู้แทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีน ร่วมสังเกตการณ์ ซึ่งการประชุมเป็นกลไกหารือทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก่อนการประชุม GBC ประธาน GBC ของทั้ง 2 ฝ่าย ได้เข้าเยี่ยมคารวะ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย โดยได้ยืนยันว่ามาเลเซีย รวมถึงประเทศสมาชิกอาเซียนต่างๆ เห็นตรงกันว่าสนับสนุนให้ใช้กลไกทวิภาคีแก้ไขปัญหาระหว่างไทย-กัมพูชา สอดคล้องกับท่าทีของไทย ทั้ง 2 ฝ่ายตกลงปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด โดยไม่เสริมกำลังเพิ่ม หลีกเลี่ยงการกระทำที่ยั่วยุทั้งทางการทหาร […]