ดีเอสไอ 8 ส.ค.-รองอธิบดีดีเอสไอ ชี้การเสียชีวิตของ ‘ธวัชชัย อนุกูล’ส่งผลให้คดีอาญายุติลงตามไปด้วย แต่การดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องอื่น รวมถึงการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินยังดำเนินการต่อ
พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)เปิดเผย ถึงการดำเนินคดีทุจริตออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินพังงาที่ก่อเหตุผูกคอให้ห้องควบคุมว่า การเสียชีวิตของนายธวัชชัยส่งผลให้คดีอาญาเฉพาะในส่วนของนายธวัชชัยยุติลง เนื่องจากจำเลยเสียชีวิต แต่การดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ รวมถึงการเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ที่ดินยังดำเนินการต่อไป โดยคดีดังกล่าวแยกฟ้องเป็น 2 สำนวนตามการบุกรุกที่ดิน 2 แปลง ในคดีแรกมีจำเลยเหลืออยู่ 2 ราย รายแรกให้การรับสารภาพศาลพิพากษาลงโทษจำคุก 2 ปี
ส่วนคดีที่ 2 อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ซึ่งเหลือการสืบพยานอีกเพียงปากเดียว คาดว่าช่วงปลายเดือนสิงหาคมนี้กระบวนการสืบพยานจะเสร็จสิ้นและนัดฟังคำตัดสินในคดีได้
สำหรับเอกสารสิทธิ์ที่ดินทั้ง 2 แปลง ดีเอสไอได้ส่งหลักฐานไปให้กรมที่ดิน เพิกถอนเอกสารสิทธิ์แล้ว โดยคดีนี้ปรากฏหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการใช้ ส.ค.1บิน จากสถานที่อื่นมาสวมทับ ซึ่งที่ดินแปลงแรกเนื้อที่ 7 ไร่ อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติสิรินาถ บริเวณหาดลายัน ส่วนแปลงที่ 2 มีเนื้อที่ติดกัน แต่อยู่นอกเขตอุทยานตั้งอยู่บริเวณหาดเลพัง เนื้อที่ 6 ไร่ โดยพื้นที่ทั้ง 2 แปลงเป็นชายหาดมีราคาซื้อขายไร่ละ 70 ล้านบาท
พ.ต.ท.ประวุธ กล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบหลักฐานย้อนหลัง ส.ค.1 ที่นำมาสวมทับออกในปี 2497 โดยอ้างการทำประโยชน์เป็นสวนผลไม้ แต่เมื่อตรวจสอบภาพถ่ายทางอากาศพบว่าในปี2510 ที่ดินทั้ง 2 แปลง เนื้อที่รวม13 ไร่ ยังเป็นทะเล ไม่มีแผ่นดิน ดังนั้น จะมีส.ค.1 และเข้าทำประโยชน์ปลูกผลไม้ไม่ได้ ต่อมาภายหลังพื้นที่มีตะกอนทะเลทับถมจึงทำให้เกิดเป็นพื้นที่ กลุ่มนายทุนในพื้นที่และเจ้าหน้าที่ที่ดินจึงร่วมกันทุจริตออกเอกสารสิทธิ์
สำหรับนายธวัชชัยเข้าไปเกี่ยวข้องกับการอนุมัติออกเอกสารสิทธิ์ทั้งที่ไม่มีอำนาจ รวม 4 แปลง ต่อมาที่ดินทั้ง 4 แปลงใหญ่ถูกจัดสรรเป็นแปลงย่อยๆ กว่า 1,000 แปลง อย่างไรก็ตามเมื่อมีคำตัดสินชัดเจนในที่ดิน 2 แปลงแรก ดีเอสไอจะขยายผลดำเนินการไปยังที่ดินแปลงอื่นๆ
นอกจากนี้ ในส่วนการสอบสวนทุจริตบุกรุกที่ดินในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติควนโต๊ะหลา จ.พังงา เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่ที่ดินอีกรายหนึ่ง ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วด้วยโรคชราและไม่เกี่ยวข้องกับนายธวัชชัย โดยการสอบสวนของดีเอสไอพบว่าเจ้าหน้าที่รายดังกล่าวมีความสนิทสนมกับนายทุนที่มีฐานะในระดับคหบดีใหญ่ของจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีพฤติการณ์ออกเอกสารสิทธิ์เท็จตั้งแต่เกาะยาว จ.พังงา หาดกมลา จ.ภูเก็ต
โดยการเอกสารสิทธิ์เท็จที่ป่าควนโต๊ะหลาถือเป็นคดีที่ 3 ของเจ้าหน้าที่รายนี้ ซึ่งอนุญาตออกเอกสารสิทธิ์ นส. 3 ก.ด้วยการเดินสำรวจให้กับนายทุนเพียงรายเดียวรวม 2,000 ไร่ และต่อมาได้นำมาขายให้กับนายรัตน์ โอสถานุเคราะห์ โดยสภาพที่ดินทางกายภาพเป็นป่าไม้ชัดเจน อีกทั้งยังเป็นการเดินสำรวจเพื่อออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินบนภูเขา ซึ่งกฎหมายที่ดินไม่รองรับให้ออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินดังกล่าว แม้จะตีความว่าพื้นที่ไม่ใช่ป่าสงวนแต่ก็ถือเป็นป่าไม้ ซึ่งผู้ที่บุกรุกเข้าถือครองจะมีโทษทางอาญาเช่นกัน. -สำนักข่าวไทย