เซ็นทรัลเวิลด์ 28 ต.ค. – นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า มาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวปีการผลิต 2559/2560 ซึ่งจะออกสู่ตลาดมากในช่วงพฤศจิกายน – ธันวาคม 2559 โดยมีการดำเนินการทั้งมาตรการยกระดับราคาในประเทศและผลักดันการส่งออก ทั้งมาตรการระยะสั้น และมาตรการระยะยาว
สำหรับมาตรการระยะสั้น ได้แก่ 1.โครงการชดเชยดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสตอก โดยจะชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวที่กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อรับซื้อข้าวเปลือกตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 ถึง 31 มีนาคม 2560 และเก็บสตอกข้าวระยะเวลา 2 – 6 เดือน อัตราร้อยละ 3 ต่อปี ซึ่งขณะนี้ได้อนุมัติการเข้าร่วมโครงการของผู้ประกอบการที่ประสงค์จะเข้าร่วมโครงการแล้ว 345 ราย วงเงินสินเชื่อที่รับซื้อข้าวเปลือก 85,917.87 ล้านบาท เป้าหมายการเก็บสตอกประมาณ 8 ล้านตัน 2.โครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือก โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จะให้สินเชื่อเกษตรกร สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร และวิสาหกิจชุมชน เพื่อชะลอการจำหน่ายข้าวเปลือกเก็บในยุ้งฉางตันละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท ณ ต้นข้าว 36 กรัมขึ้นไป และเกษตรกรจะได้รับค่าเตรียมข้าวเปลือกขึ้นยุ้งและค่าฝากเก็บเพิ่มจากเงินสินเชื่ออีกตันละ 1,500 บาท โดยจะจ่ายให้พร้อมสินเชื่อ 1,000 บาท และจ่ายเมื่อไถ่ถอนข้าวหรือระบายข้าวแล้วตันละ 500 บาท เป้าหมายการเก็บสตอกประมาณ 2 ล้านตัน
3.โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่ม โดยสถาบันเกษตรกร ธ.ก.ส.จะให้สินเชื่อแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อนำไปซื้อข้าวจากสมาชิกเพื่อจำหน่ายหรือแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่า ซึ่งสถาบันเกษตรกรจะรับภาระดอกเบี้ยร้อยละ 1 เป้าหมาย 2.5 ล้านตัน 4.โครงการจัดตลาดนัดข้าวเปลือก เพื่อให้กลไกตลาดการรับซื้อข้าวเปลือกของเกษตรกรมีการแข่งขัน เกษตรกรมีช่องทางเลือกและมีอำนาจต่อรองการขายข้าวเปลือก พาณิชย์จังหวัดกำหนดแผนการจัดตลาดนัดในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมากในพื้นที่แล้ว 42 จังหวัด 102 ครั้ง ส่วนการช่วยเหลือโดยตรงแก่เกษตรกร รัฐบาลมีมาตรการช่วยเหลือในช่วงก่อนการเพาะปลูก ได้แก่ มาตรการช่วยเหลือด้านปัจจัยการผลิต ไร่ละ 1,000 บาท ซึ่งเกษตรกรผลิตข้าว 1 ตัน ใช้พื้นที่เพาะปลูกประมาณ 2 ไร่เศษ ในส่วนนี้เกษตรกรจะได้รับประโยชน์จากโครงการนี้กว่า 2,000 บาทต่อตัน ประกอบกับมาตรการขอความร่วมมือลดต้นทุนการผลิต ลดดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการเพาะปลูก รวมทั้งการพักชำระหนี้ให้เกษตรกร ดังนั้น ปีการผลิต 2559/2560 อีกประมาณตันละ 1,000 บาท เกษตรกรจะได้รับรายได้เพิ่มจากการจำหน่ายผลผลิตข้าวเปลือกตามมาตรการดังกล่าวอีกไม่ต่ำกว่าตันละ 3,000 บาท
ส่วนมาตรการระยะยาว กระทรวงพาณิชย์จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาระยะยาว อาทิ การบริหารจัดการข้าวทั้งระบบให้สอดคล้องเป็นไปตามแผนการผลิตและการตลาดข้าวครบวงจร โดยมุ่งเน้นให้การตลาดนำการผลิตวางแผนการผลิตข้าวให้สอดคล้องกับปริมาณและลักษณะความต้องการของตลาด 1.การรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับตลาดคู่ค้าสำคัญและขยายโอกาสทางการค้าไปยังตลาดใหม่ในภูมิภาคต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมให้เข้มแข็งและสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีศักยภาพ ทั้งในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล และเอกชนต่อเอกชน 2.การให้ความช่วยเหลือเกษตรกรชาวนาโดยมุ่งสนับสนุนเรื่องพื้นฐานในการดำรงชีวิต เช่น ค่าครองชีพ และค่าศึกษาเล่าเรียนบุตร เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังมีแผนเสริมเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นการบริโภคและยกระดับราคาข้าว ดังนี้ 1. กระตุ้นการบริโภคข้าวภายในประเทศ โดยเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ สร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้บริโภคได้รับรู้และเข้าใจถึงคุณค่าทางโภชนาการของข้าว คุณภาพแต่ละชนิดที่มีประโยชน์สูงและดีต่อสุขภาพ ข้าวอินทรีย์ ข้าว GI ข้าวสี เป็นต้น รวมทั้งส่งเสริมตลาดข้าวในกลุ่มผู้บริโภคที่เน้นสุขภาพและแพ้สารกลูเตนในข้าวสาลี ดังนั้น โอกาสที่ผลิตภัณฑ์จากข้าวไทยที่ไม่มีสารกลูเตน (Gluten Free) จะไปทดแทนผลิตภัณฑ์จากข้าวสาลีจะมีมากขึ้น 2.สร้างค่านิยมการบริโภคข้าวเป็นอาหารหลัก ทั้งข้าวขาว ข้าวหอมมะลิไทย และข้าวเหนียว เพื่อลดการบริโภคอาหารต่างชาติ 3.จัดตลาดนัดข้าวสารและข้าวเปลือก เพื่อเป็นแหล่งศูนย์กลางให้คนไทยได้ซื้อข้าวเพื่อเก็บไว้บริโภคในครัวเรือนตามแหล่งชุมชนในย่านต่าง ๆ และผ่านช่องทางพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (online) 4.หารือกับสมาคมผู้ประกอบกิจการร้านอาหาร ภัตตาคาร และห้างสรรพสินค้า เพื่อให้เพิ่มปริมาณสำรองในการจัดซื้อข้าวไว้ใช้ในการดำเนินกิจการ 5.จัดกิจกรรม CSR ข้าวไทยร่วมใจช่วยชาวนา รณรงค์ให้ภาคเอกชนและประชาชน ซื้อข้าวเป็นของขวัญเพื่อ ส่งมอบให้กันในช่วงวันปีใหม่ 6.การยกระดับราคาข้าวโดยการเร่งขยายตลาดในต่างประเทศ โดยกระทรวงพาณิชย์ได้จัดทำแผน Roadshow เร่งรัดหาตลาดส่งออกข้าวใหม่ๆรวมทั้งพบปะกับลูกค้าเดิมเพื่อรักษาตลาด และเพิ่มช่องทางการจำหน่ายให้มากขึ้น โดยจากนี้ไปกระทรวงมีแผน Road Show ที่จะบุกตลาดข้าวทั้งในลักษณะ G2G B2B และ B2C ดังนี้
นางอภิรดี กล่าวว่า ในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) มีแผนจะเดินทางไปมาเลเซียวันที่ 1-2 พฤศจิกายน 2559 อินโดนีเซีย 3-4 พฤศจิกายน 2559 และฟิลิปปินส์ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2559 และเดินทางไปจีน อิหร่าน อิรัก และแอฟริกา เดือนธันวาคม 2559 และกุมภาพันธ์ –เมษายน 2560 ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ผลักดันเรื่องการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับรัฐบาลและตลาดต่างประเทศที่เสียไปให้หันกลับมาซื้อข้าวไทย โดยรัฐบาลดำเนินการส่งมอบข้าวภายใต้สัญญาจีทูจีและสามารถทำสัญญาเพิ่มกับรัฐบาลต่างประเทศอีกกว่า 2,555,000 ตัน แบ่งเป็นสัญญากับ COFCO สาธารณรัฐประชาชนจีน ปริมาณ 1 ล้านตัน NFA สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ปริมาณ 900,000 ตัน BULOG สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ปริมาณ 655,000 ตัน ทำให้สามารถหาตลาดรองรับทั้งสตอกข้าวเก่าและข้าวฤดูกาลผลิตใหม่ที่ออกสู่ตลาดได้ในปริมาณมาก
ระดับเอกชน (B2B) จะมีคณะผู้แทนการค้าจากจีน ฮ่องกง อาเซียน สหรัฐ คานาดา และยุโรป เดินทางมาเจรจาการค้าที่ประเทศไทยระหว่างวันที่ 13-16 พฤศจิกายนนี้ นอกจากนี้ ยังมีแผนรุกตลาดเพิ่ม คือ คณะผู้แทนการค้าเดินทางไปขายข้าวที่จีนและฮ่องกงสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนมกราคม 2560 และช่วงเดือน กรกฎาคม 2560 แผนจัดคณะไปยุโรป ตะวันออกกลาง และสหรัฐอเมริกา แคนาดาช่วงเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม มิถุนายน/กรกฏาคม 60 แผนไปญี่ปุ่นช่วง 7-10 มีนาคม 60 และไปย้ำตลาดอาเซียน คือ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และ เวียดนามในช่วงกลางปีหน้า โดยจะนำมาหารือกับภาคเอกชนเร็ว ๆ นี้
ระดับผู้บริโภค (B2C) ในต่างประเทศจะร่วมมือกับสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศจัดกิจกรรมร่วมกับ Thai Select รายภูมิภาค เพื่อรณรงค์บริโภคข้าวไทยไร้ Gluten โดยจะทำพร้อมกันเป็นรายภูมิภาค ส่วนจะเป็นเดือนไหนขณะนี้ได้สั่งการสำนักงานในต่างประเทศให้จัดทำแผนเข้ามาแล้ว นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์จะร่วมมือกับห้าง Tesco ในประเทศอังกฤษ จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย โดยเน้น Theme ข้าวไทย ซึ่งกำลังเจรจากับบริษัทแม่ในอังกฤษ เพื่อจะจัดใน TESCO ประเทศอื่นพร้อมกัน ซึ่งปัจจุบัน TESCO มีการลงทุนใน 12 ประเทศทั่วโลก และมีสาขากว่า 6,900 สาขา.-สำนักข่าวไทย