ตลท. 3 ก.ค. – ดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุนทรงตัวติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ด้านตลาดทุนครึ่งปีแรกขยายตัวน้อยเทียบกับปีที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนยังเชื่อมั่นนโยบายการลงทุนภาครัฐ แต่จับตานโยบายการเงินสหรัฐ
นายสันติ กีระนันทน์ ผู้แทนสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนอีก 3 เดือนข้างหน้า ว่า ปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.62 อยู่ในภาวะทรงตัวเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยนักลงทุนมองว่าภาวะตลาดทรงตัว ปัจจัยสนับสนุนความเชื่อมั่นยังคงเป็นปัจจัยภายในประเทศจากนโยบายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐและตัวเลขเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่นโยบายทางการเงินของสหรัฐและปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศเป็นปัจจัยฉุดความเชื่อมั่น โดยนักลงทุนยังคงติดตามปัจจัยจากต่างประเทศที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุนเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ นักลงทุนยังให้ความสนใจหลักทรัพย์หมวดบริการรับเหมาก่อสร้างมากที่สุด รองลงมา หมวดธุรกิจการเกษตร ขณะที่หมวดแฟชั่น เป็นอุตสาหกรรมที่ไม่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุน สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนเดือนมิถุนายนอยู่ที่ 100.01 ปรับลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.62 จากดัชนีเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ที่ 101.66
ขณะที่ครึ่งแรกปี 2560 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.55 เนื่องจากการปรับขึ้นสูงปีก่อน และพฤติกรรมลงทุนแบบแสวงหาผลตอบแทน แต่อยู่ในระดับต่ำกว่าหลายประเทศในภูมิภาค เช่น ฮ่องกง เวียดนาม ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ที่ดัชนีปรับเพิ่มเป็นหลักสิบขึ้นไป หากพิจารณาจากการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันของไทยยังสูงสุดในอาเซียน อยู่ที่ 1,239 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อวัน ดังนั้น แนะผู้ลงทุนควรติดตามเสถียรภาพการเติบโตของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน
นายสุรัตน์ จิรจรัสพร หัวหน้าฝ่ายบริการราคาตราสารหนี้และพัฒนาผลิตภัณฑ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า ดัชนีคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เดือนกรกฎาคมนี้อยู่ที่ร้อยละ 50 สะท้อนว่าตลาดยังเชื่อมั่นว่า กนง.จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 1.50 จากปัจจัยแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจไทยที่อยู่ในระดับต่ำตามคาดการณ์ และแนวโน้มอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำภายใต้กรอบนโยบาย ขณะที่ดัชนีคาดการณ์อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 5 ปี และ 10 ปี ในช่วงประชุม กนง.เดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 84 และ 83 ตามลำดับ สะท้อนว่าตลาดมีความเชื่อมั่นว่าแนวโน้มอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลทั้ง 2 รุ่นมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากระดับปัจจุบัน.-สำนักข่าวไทย