8 ก.ค. – “ดร.กอบศักดิ์” จับตาภาษีจีนและอินเดียจะจบลงที่เท่าไหร่ หลังไทยโดน 36% สูงกว่าเวียดนาม 16% กังวลนักลงทุนต่างประเทศเปลี่ยนใจไปเวียดนาม
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่า จากการตีความจดหมายทั้งหมดของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ออกมาเมื่อคืน ซึ่งออกจดหมายมาหลายฉบับเริ่มต้นจากเกาหลีใต้และญี่ปุ่นหลังจากนั้นก็มีจดหมายอีกชุดหนึ่งห้าประเทศ และออกมาต่อเนื่องอีกชุดนึง เมื่อนำมารวมกันสามารถตีความได้ว่าแต่ละประเทศตัวเลขแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เคยแจ้งไว้เมือเดือนเมษายน ซึ่งจดหมายเมื่อคืน ตีความได้ว่า ทรัมป์เจตนาที่จะแจ้งว่าผมยืนยันที่จะเก็บภาษีคุณเท่าเดิม โดยในส่วนของไทย ตัวเลขอยู่ที่ 36% เมื่อเทียบกับมาเลเซียพบว่าแตกต่างกัน 10% และที่สำคัญกว่านั้นคือเวียดนามถูกเก็บภาษีน้อยกว่าไทยถึง 16% ซึ่งเป็นจุดที่น่ากังวลใจ
จดหมายเมื่อคืนส่งผลกระทบ แต่อยากให้ดูว่าดัชนี S&P500 เพิ่งทำ All time high ไปซึ่งหลายคนแอบหวังว่าทรัมป์จะมีการเปลี่ยนใจเหมือนครั้งที่แล้วซึ่งตนอยากบอกว่าหากตลาดทุนยังเป็นลักษณะนี้โอกาสที่ประธานาธิบดีทรัมป์จะเปลี่ยนใจมีน้อยมาก ซึ่งหมายความว่าตลาดทุนสามารถรับได้ถึงระดับหนึ่งส่วนดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนตกลงไป 400 กว่าจุด แต่หากดูเช้านี้ดัชนี Nikkei บวกแต่โดยรวมถือว่าตลาดทุนเปิดตลาดมาสามารถรับได้ ซึ่งในภูมิภาคมีผลกระทบบ้างแต่ว่าไม่ได้ตกอย่างถล่มทลายอย่างที่เรากลัวกัน แม้กระทั่ง SET เราก็ตกลง แต่ว่าไม่ได้ตกมากถือว่าเรารับเขาได้ดีถึงระดับหนึ่ง

สิ่งที่เกิดขึ้นขณะนี้ตลาดโลกได้รับข่าวเรื่องนี้มาเยอะมากแล้วตั้งแต่ต้นปี ขณะเดียวกันการที่ขยายเวลา 90 วัน เป็นการให้เวลาผู้ประกอบการปรับตัวและให้เวลากับตัวประธานาธิบดีทรัมป์เองในการทำมาตรการอื่นๆ มาประกอบกันโดยเฉพาะมาตรการที่เรียกว่า OBB พี่เพิ่งออกมาเพราะฝั่งหนึ่งภาษีจะทำร้ายประชาชนชาวอเมริกา ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นแต่วันนี้เมื่อเทียบกับเมษายนเรียกว่าเป็นหนังคนละม้วนเนื่องจากช่วงเมษายนยังไม่มีอะไรมาช่วยประชาชนแต่ ณ วันนี้มีมาตรการ OBB ออกมาซึ่งจะมีทั้งการให้เงินช่วยเหลือประชาชน การลดภาษี มาตรการลดภาระให้เอสเอ็มอี ซึ่งจะถ่วงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อตลาดหุ้นอเมริกา และสิ่งที่เกิดขึ้นคือค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าขึ้นที่สุดในหลายเดือนที่ผ่านมาทองคำขึ้นไปที่ 3,300 เหรียญต่ออนส์ ดังนั้นสิ่งที่เราต้องรอดูคือรอดูว่าจีนและอินเดียจะจบลงที่เท่าไหร่ นี่คือหัวใจสำคัญเนื่องจากเราเห็นจดหมายออกมาทุกคืน แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ไทยเสียเปรียบมาเลเซียและเสียเปรียบเวียดนาม คำถามก็คือว่าเราจะเสียเปรียบอินเดียหรือไม่ เพราะอินเดียคือคู่แข่งสำคัญและขณะเดียวกันกับจีนที่บอกไปเจรจากันแล้วจีนจะตกลงกันได้หรือไม่ หรือหากจีนเจรจาและตกลงกันได้ที่อัตราภาษี 34% เหมือนเดิมก็หมายความว่าเราเสียเปรียบเวียดนาม แต่เราไม่ได้เปรียบจีนเลยแม้แต่นิดเดียว นี่คือสิ่งที่น่ากังวลใจเชื่อว่าใน 1-2 วันนี้ จะมีจดหมายออกมาเรื่อยๆ
ส่วนทางเลือกของไทยในตอนนี้ตนมองว่าเรามีทางเลือกไม่มากโดยทางเลือกที่หนึ่งคือยอมรับสภาพที่ 36% หรือไม่ หรือกลับไปเจรจาเพิ่มเติมเพื่อให้ได้อยู่ที่ประมาณ 25% เพราะตนคิดว่า 10% คงเป็นเรื่องยากสำหรับประเทศที่อเมริกาเกินดุล หรือเดินตามแนวทางเวียดนามทำเต็มที่ให้ได้ 20%
“ผมคิดว่าเราอยู่ในช่วงทางเลือกและผมคิดว่าจดหมายที่ออกมาเมื่อคืนเป็นจดหมายเตือนว่าเขายังไม่พอใจแนวทางที่เราเสนอไป ยังไม่ใช่ good deal สำหรับอเมริกา เขาอยากขอเพิ่มแล้วคำถามคือเราจะให้เพิ่มได้อย่างที่เขาต้องการหรือไม่เพราะที่มีจดหมายออกมาเมื่อคืนนั่นแสดงว่าเขาไม่ได้รอเราแล้ว ผมคิดว่าในส่วนนี้เราต้องกลับมานั่งคิดว่าจะเจรจาเพิ่มขึ้นแค่ไหนและอยากได้อัตราที่ประมาณไหน หากไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย จบที่ 36% จะมีผลกระทบต่อภาคส่งออกทุกสินค้าที่ส่งไปอเมริกาจะแพงขึ้น 36% ต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจะเป็นภาระของภาคส่งออกที่ต้องปรับตัว อีกสิ่งหนึ่งที่น่ากังวลใจพอกันคือเอสเอ็มอีในประเทศซึ่งตรงนี้ขึ้นอยู่กับว่าจีนจะจบอย่างไร และสิ่งที่น่ากังวลใจที่สุดคือการลงทุนโดยตรงที่จะเข้ามาไทยหลายบริษัทที่แจ้งความจำนงที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอย่างตัวเลขที่บีโอไอเปิดเผยมาก็จะมีการคิดหนักขึ้น และอาจจะหันไปลงทุนที่เวียดนามแทน เนื่องจากอัตราภาษีน้อยกว่าไทย” ดร.กอบศักดิ์ กล่าว. -517-สำนักข่าวไทย