“สมคิด” ตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน

รร.แกรนด์ไฮแอทฯ 22 มิ.ย. – รองนายกรัฐมนตรีตอกย้ำความเชื่อมั่นนักลงทุน ย้ำไม่ได้มอบรถไฟไทย-จีน ให้ต่างชาติ คาดส่งออกเติบโตได้เลข 2 หลัก หลังหลายปัจจัยฟื้นตัว เชิญนักลงทุนต่างชาติ ทั้งยุโรป สหรัฐ ขยายลงทุนในอีอีซี หลังจีน ญี่ปุ่น เกาหลี พร้อมเข้ามาลงทุน 


นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี  ปาฐกถาพิเศษงานสัมมนาผู้ลงทุนในตลาดทุนระดับนานาชาติ “Thailand Big Strategic Move” เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างชาติ กองทุนต่างชาติ 20 กองทุนมาร่วมรับฟังนโนยบายจากรัฐบาล จึงต้องการย้ำว่าเมื่อเอเชียเริ่มส่องแสง Asia Rise แฝงมาในวิกฤติเศรษฐกิจโลก ไทยจึงเป็นหนึ่งในเอเชีย เป็นหัวใจแห่งเอเชีย และเมื่อจีนประกาศนโยบาย one belt one road ไทยจึงโดดเด่น เพราะอยู่บนเส้นทางเชื่อมระหว่าง one belt บนแผ่นดินใหญ่กับ maritime silk road ทางทะเล 

ทั้งนี้  เมื่อรัฐบาลมุ่งนำประเทศกลับคืนสู่ความสงบ การเมืองไปสู่การเลือกตั้งปีหน้าตามรัฐธรรมนูญและความมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดว่าปีนี้จีดีพีเติบโตร้อยละ 3.5 หรือสูงกว่าการส่งออกเติบโตเป็นเลข 2 หลัก เพราะเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวและความเชื่อมั่นเริ่มดีขึ้น หนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่เกินร้อยละ 45 ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิเฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนเฉลี่ยร้อยละ 7 ไตรมาส 1 ของปีนี้มีกำไรสุทธิรวมสูงถึง  300,000 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 21 จากปีที่ผ่านมา ขณะที่ขนาดตลาดรวมมีขนาดถึงร้อยละ 122 ของจีดีพี ท่ามกลางสถานการณ์โลกตึงเครียดทางการเมือง ไทยถือเป็นสวรรค์ของการลงทุน  save heaven ที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจ ส่วนค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่องอาจกระทบต่อการส่งออกนั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดูแลอย่างใกล้ชิดและคงใช้เงินทุนสำรองแทรกแซงมากเกินไปคงไม่ได้ เพราะอาจทำให้ขาดทุนจำนวนมาก จึงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด 


นายสมคิด กล่าวย้ำต่อนักลงทุนว่าเมื่อไทยต้องการเป็นศูนย์กลางด้านต่าง ๆ จึงเดินหน้านโยบายเศรษฐกิจ ทั้งการพึ่้งพา Export led growth สู่ balanced growth economy มาสู่การเติบโตอย่างสมดุล พึ่งพาปัจจัยภายนอก เช่น การส่งออก การลงทุนและการท่องเที่ยวจากต่างประเทศ และยังเน้นการสร้าง local economy ทั้งการผลิต การตลาด การค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวในภูมิภาค ด้วยการสร้างความเข้มแข็งในชนบท การสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ  ด้วยการพร้อมงบประมาณกระจายสู่กลุ่มจังหวัดและสู่ท้องถิ่นโดยตรง ผ่านความร่วมมือ 3 ฝ่ายระหว่างรัฐ เอกชน และชุมชน “ประชารัฐ” เพื่อสร้างสมดุลโดยไม่ต้องพึ่งพิงปัจจัยภายนอก 

การพัฒนาจาก low cost สู่ value based economy  การสร้างมูลค่าด้วยนวัตกรรมด้วยวิทยาการ ด้วยการค้นคว้าวิจัย และการคิดสร้างสรรค์ ผลักดันให้เกิด cluster การผลิตระหว่างรัฐ เอกชน ผู้ประกอบการสถาบันศึกษา และสถาบันวิจัย เพื่อเป็นบ่อเกิดแห่งนวัตกรรม ผ่านมาตรการการจูงใจทางภาษีให้ภาคเอกชนหันมาลงทุนใน R&D  ขณะนี้งบลงทุนใน R&D ของประเทศให้มีสัดส่วนร้อยละ 1 เป็นอย่างน้อยใน 2 ปีข้างหน้า ส่งเสริมการค้นคว้าวิจัยเป็นตัวนำการผลิต การพัฒนาแบบ jump start โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของประเทศ หลังจากหยุดชะงักไปนานกว่า 20 ปี ทำให้ไทยอยู่ในระดับท้ายสุดในเอเชีย    ไทยกลับมาประกาศการลงทุนครั้งใหญ่ด้วยวงเงินลงทุนกว่า 2.4 ล้านล้านบาท ในโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของประเทศ ทั้งการสร้างถนน ทางด่วน มอเตอร์เวย์ โครงการรถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง   

การสร้างและพัฒนาสนามบินท่าเรือและสถานีขนส่งสินค้า ครอบคลุมช่วงระยะ 5 ปีข้างหน้า ผ่านแหล่งเงินทุน 4 แหล่ง คือ งบประมาณ แหล่งเงินกู้ยืม การร่วมลงทุนกับเอกชนแบบ PPP fast track ผ่านการสร้างรถไฟฟ้า 5 เส้นทาง คือ เส้นสีเขียว น้ำเงิน ส้ม เหลือง และชมพู และภายในปีนี้เริ่มเปิดประมูลอีก 3 เส้นทาง คือ ม่วงใต้ ส้มตะวันตก และสีแดง และในช่วง 2 เดือนข้างหน้าจะสรุปผลการประมูลรถไฟทางคู่อีก 5 เส้นทาง และมอเตอร์เวย์อีก 2 เส้น เพื่อเริ่มลงทุนภายในปีนี้


สำหรับเส้นทางรถไฟไทย-จีน คาดว่าจะเริ่มช่วงเดือนกันยายน  โครงการ 180,000 ล้านบาท ส่วนดังกล่าว 140,000 ล้านบาท ไทยดำเนินการเอง และพัฒนารอบเส้นทางรถไฟฟ้า จึงไม่มีส่วนใดมอบให้กับจีนอย่างแน่นอน ที่ดินของไทยใครมาร่วมลงทุนได้ ไม่ใช่ยกให้กับจีน ตามหลักการของเจรจาแบบ G/G ในการกำหนดราคากลางต้องต่อรองระหว่างรัฐต่อรัฐ และแก้ไขเฉพาะจุด เพื่อต้องการขยายเส้นทางต่อไปยังหนองคาย และเชื่อมต่อไปยังมาเลเซีย

และก่อนสิ้นปีเส้นทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-ระยอง กรุงเทพฯ-หัวหิน และเส้นทางรถไฟฟ้า จังหวัดภูเก็ต ลงทุนแบบ PPP fast track เมื่อผ่านการพิจารณาจาก ครม. ทุกโครงการเริ่มต้นก่อนปลายปีหน้า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังเตรียมการจำหน่ายหน่วยลงทุน Thailand future Fund  ล็อตแรกไตรมาส 3-4 ปีนี้ จำหน่ายให้ทั้งนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบัน เป็นทางเลือกในการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ เพื่อรักษาระดับหนี้สาธารณะต่อจีดีพีไม่ให้เกินร้อยละ 50 เพื่อประหยัดงบประมาณและขับเคลื่อนภายใน 5 ปี 

รัฐบาลยังมุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายแห่งอนาคต เช่น อาหารแห่งอนาคต อาศัยเกษตรเป็นพื้นฐาน ยานยนต์แห่งอนาคต และอิเล็กทรอนิกส์ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเป็นพื้นฐาน  ศูนย์กลางสุขภาพ ศูนย์กลางอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ศูนย์กลางการบินแห่งภูมิภาค ด้วยการจัดพื้นที่ 3 จังหวัดเบื้องต้น เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเฉพาะในอีอีซีกว่า 400,000 ล้านบาท นอกจากนักลงทุนจีน ญี่ปุ่น และตะวันตกมาลงทุนเพิ่มเติม

รัฐบาลเตรียมก้าวสู่ยุคดิจิทัล โดยจัดสรรงบประมาณ 25,000 ล้านบาท เพื่อติดตั้ง Internet broadband กว่า 24,000 หมู่บ้านในปีนี้  และอีก 20,000 หมู่บ้านในปีหน้า เพื่อส่งเสริมชนบท พัฒนาการศึกษา สาธารณสุข การค้าผ่านอี-คอมเมิร์ซจากชนบทสู่โลก การลงทุนวางระบบเคเบิ้ลใต้น้ำ กว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อให้ไทยยกระดับการเชื่อมต่อกับต่างประเทศ International gateway ของภูมิภาคในอนาคต วางระบบได้ในสิ้นปีหน้า ขณะนี้ญี่ปุ่นลงนามหลายฉบับระหว่างไทยกับเมติ เพื่อร่วมพัฒนาในอีอีซี เพื่อส่งผ่านกระบวนการผลิตไปสู่ดิจิทัล เพื่อเชื่อมต่อทั้งหมดผ่าน Big Data เพื่อประกาศสิ่งเหล่านี้ในประเทศไทย หากนักลงทุนยังล่าช้าจะตกขบวนได้คนไม่เปลี่ยนแปลงจะสูญพันธ์ 

นอกจากนี้ ยังเน้นการเชื่อมโยงกับกลุ่ม CLMV เพราะการร่วมมือกับเพื่อนบ้านเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งกลุ่มอนุภูมิภาคเติบโตจะทำให้ไทยได้รับความสนใจมากขึ้น ทั้งการสร้างพลังร่วมของการท่องเที่ยว การจัดทำพัฒนายุทธศาสตร์ร่วมกัน ไปสู่อนุภูมิภาคอื่นและการเชื่อมโยงไทยเข้ากับ one belt one road ของจีน  ด้วยการการเชื่อมอีอีซีผ่านเส้นทางรถไฟเข้ากับเส้นทางรถไฟไทยจีน เชื่อมจากจีนสู่เวียงจันทร์ผ่านไทยไปยังช่องแคบมะละกาของมาเลเซีย เพื่อเชื่อมโยง one belt และ maritime silkroad ตลอดจนการร่วมผลักดันเขตการค้าเสรีใหม่ ทั้งกลุ่ม RCEP ซึ่งไทยมีข้อตกลงเปิดเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับกลุ่มประเทศเหล่านี้ ขณะที่กลุ่มประเทศ TPP ญี่ปุ่นขอเป็นแกนนำแทนสหรัฐ. – สำนักข่าวไทย

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

มือมีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” ขอโทษ อ้างป้องกันตัว

กรุงเทพฯ 3 ส.ค. – มือมีดทำร้าย “เป๊ก ผลิตโชค” ยืนยันไม่ได้ตั้งใจเอามีดฟัน อ้างไม่ใช่คู่กรณี แต่เห็นคนทะเลาะกัน เลยเข้าไปห้าม แต่ “เป๊ก” ปรี่เข้าหา จึงชักมีดพกขึ้นมาป้องกันตัว อยากขอโทษ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นช่วง 01.30 น. พนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก รับแจ้งเหตุมีคนถูกมีดฟันบาดเจ็บในปั๊มน้ำมันซอยรามคำแหง 76 เขตบางกะปิ เมื่อเข้าไปตรวจสอบพร้อมกับสายตรวจและอาสากู้ภัย พบคนเจ็บคือ เป๊ก-ผลิตโชค อายนบุตร อายุ 40 ปี ดารานักร้องชื่อดัง ถูกมีดฟันใต้คางเป็นแผลฉกรรจ์ ทำให้ต้องเร่งปฐมพยาบาลเบื้องต้น ก่อนพาตัวส่งโรงพยาบาล ขณะที่ผู้ก่อเหตุคือ นายชุติเทพ อายุ 21 ปี ไม่ได้หนีไปไหน ยืนรอมอบตัวกับตำรวจ พร้อมอาวุธมีดยาว 20 เซนติเมตร ที่ใช้ฟันเป๊ก ผลิตโชค ตำรวจจึงคุมตัวไปสอบปากคำที่โรงพัก เบื้องต้นนายชุติเทพ ให้การอ้างขับรถไปรับแฟนออกจากที่ทำงานเพื่อกลับบ้าน แต่ขณะแวะปั๊มน้ำมันจุดเกิดเหตุ เห็นมีคนกำลังทะเลาะกัน คล้ายมีอาการมึนเมา อยู่ท้ายรถกระบะ ตนเองจึงเข้าไปช่วยเคลียร์ […]

ทบ.แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา

กองทัพบก 3 ส.ค. – โฆษกกองทัพบก แจงไม่มีคำสั่งอพยพชาวสุรินทร์ ปัดข่าวลือเตรียมโจมตีกัมพูชา กองทัพบก ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่แพร่สะพัดบนโซเชียลมีเดีย หลังมีการอ้างว่า “สมเด็จฮุนเซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา แชร์โพสต์ของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ระบุว่า กองทัพบกไทยสั่งอพยพชาวจังหวัดสุรินทร์ภายในคืนนี้ เพื่อเตรียมเปิดฉากโจมตีกัมพูชา ก่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า ข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง ปัจจุบันในพื้นที่ไม่ได้มีการสั่งอพยพด่วนชาวสุรินทร์อย่างที่ระบุไว้ตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ที่ผ่านมา การนำเสนอข้อมูลของโฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอ ขอให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารจากแหล่งข่าวทางการ และไม่หลงเชื่อหรือแชร์ข้อมูลเท็จที่อาจสร้างความตื่นตระหนกในสังคม ทั้งนี้ กองทัพบกยังคงเคารพข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด แต่ก็ได้เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดคิดจากการกระทำของฝ่ายกัมพูชาที่มีแนวโน้มละเมิดข้อตกลงหยุดยิงบ่อยครั้ง รวมถึงพบว่ามีการเพิ่มเติมกำลังพลและยุทโธปกรณ์เข้ามาในพื้นที่. – สำนักข่าวไทย

พระราชทานเพลิงศพ 7 ผู้วายชนม์ เหตุปะทะไทย-กัมพูชา

3 ส.ค. – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา วันนี้ ครอบครัวและญาติทำพิธีฌาปนกิจผู้เสียชีวิต 7 ราย จากเหตุกัมพูชายิงใส่พื้นที่พลเรือนของไทยใน อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ท่ามกลางบรรยากาศโศกเศร้า เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานพิธี เชิญกล่องเพลิงพระราชทาน ผ้าไตรพระราชทาน และช่อดอกไม้จันทน์พระราชทาน มายังศาลาพุทธคุณ วัดมหาพุทธาราม พระอารามหลวง ต.เมืองเหนือ อ.เมือง จ.ศรีสะเกษ เพื่อประกอบพิธีพระราชทานเพลิงศพผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จากนั้นมีการอ่านหมายรับสั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชานุเคราะห์ ในการพระราชทานเพลิงศพผู้วายชนม์ 7 ราย ได้แก่ นางสาวรุ่งรัศ, เด็กหญิงทักษพร, เด็กชายพงศภัค, เด็กชายกิตติศักดิ์, นางสาวสาวิตรี, นางอรุณรัตน์ และนายสมศรี โดยมี 5 ราย เสียชีวิตจากเหตุกัมพูชายิงจรวด BM-21 ใส่ร้านสะดวกซื้อ ภายในปั๊มน้ำมัน อ.กันทรลักษ์ เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา ส่วนอีก […]

คนร้ายยิง M16 ถล่มกำนัน ต.นาวง ดับคากระบะ

ตรัง 3 ส.ค. – ตำรวจ สภ.ห้วยยอด พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด ตรวจสอบรถกระบะกำนัน ต.นาวง อ.ห้วยยอด จ.ตรัง หลังถูกคนร้ายใช้อาวุธปืน M16 ยิงถล่ม เสียชีวิตหน้าบ้านพัก เบื้องต้นตำรวจตั้งปมขัดแย้งส่วนตัว มุ่งเอาชีวิตเป็นหลัก คืบหน้าเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืน M16 ยิงถล่มรถกระบะนายบัณฑิต กำนันตำบลนาวง และประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน อ.ห้วยยอด จ.ตรัง เสียชีวิตหน้าบ้านพักเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ล่าสุด ตำรวจ สภ.ห้วยยอด ประสานพิสูจน์หลักฐาน พร้อมชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดศรีตรัง เข้าตรวจสอบรถกระบะของผู้เสียชีวิต พบถูกกระสุนปืน M16 ยิงใส่รถรวม 15 นัด เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตั้งประเด็นขัดแย้งส่วนตัว มุ่งเอาชีวิตเป็นหลัก เนื่องจากสภาพศพกระสุนปืนเข้าที่อวัยวะสำคัญ ทั้งศีรษะและลำตัวฝั่งขวาหลายนัด แต่ยังไม่ตัดประเด็นอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องทิ้ง ทั้ง รื่องพิพาทผลประโยชน์สวนปาล์มน้ำมันในพื้นที่วังวิเศษ หรือความเชื่อมโยงกับคดีลอบสังหาร “ทนายเหว่า” ซึ่งอยู่ระหว่างสืบสวนเชิงลึก และอยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐาน เพื่อออกหมายจับ ผู้เกี่ยวข้องต่อไป.-สำนักข่าวไทย