เปิดไพ่ ก.พลังงาน รับวิกฤติก๊าซฯ “ไฟไม่ขาดแต่อาจจ่ายแพง”

กรุงเทพฯ 4 มิ.ย. – เปิดแผน ก.พลังงานวางไพ่รับวิกฤติก๊าซฯ 2564-2566 ลดใช้ไฟฟ้า ส่งเสริมพลังงานทดแทน “ไฮบริด-เฟิร์ม” เจรจาซื้อไฟฟ้าเพื่อนบ้าน จีนเสนอขาย 1,000 เมกะวัตต์ ซื้อก๊าซฯ มาเลเซีย/เจดีเอ หากทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผนอาจต้องผุดแอลเอ็นจี “FSRU-มาบตาพุด” เลวร้ายสุดผลิตไฟฟ้าจากน้ำมันดีเซล



ทีมข่าวเศรษฐกิจ “สำนักข่าวไทย อสมท” มีโอกาส พูดคุยกับ นายทวารัฐ สูตะบุตร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) กระทรวงพลังงาน  หลังคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติ (กพช.) วันที่ 15 พฤษภาคม 2560 รับทราบแนวทางการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสภาวะวิกฤติก๊าซธรรมชาติ ปี 2564 – 2566 ที่คาดว่าก๊าซฯ จะลดลงส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของประเทศ คิดเป็นพลังงานไฟฟ้าสูงถึง 13,623 ล้านหน่วย หรือเทียบเท่ากับโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ ขนาด 1,700 เมกะวัตต์


เหตุผลอะไรทำให้เกิดปัญหาวิกฤติก๊าซฯ 64-66

ทวารัฐ : 2 ปีที่ผ่านมา การดำเนินการไม่เป็นตามแผนด้านพลังงาน มีความไม่แน่นอนสูง ได้แก่  โรงไฟฟ้าถ่านหินภาคใต้สร้างช้ากว่ากำหนดในแผน, สัมปทานก๊าซฯ แหล่งเอราวัณ-บงกช หมดอายุปี 2565-2566 และกระบวนเปิดหาผู้ผลิตในแหล่งใหม่ปิโตรเลียมใหม่ ๆ ไม่สามารถทำได้ ทำให้ประมาณการณ์เบื้องต้นว่าไทยจะรับก๊าซฯ ต่ำกว่าที่กำหนดในแผน โดยปัจจุบันไทยรับก๊าซฯ จาก3 แหล่ง ได้แก่ อ่าวไทยแหล่งใหญ่ “เอราวัณ-บงกช” หมดอายุสัมปทานปี 2565-2566 มีการถกเถียงเรื่องการจัดการที่ล่าช้า  ส่งผลการผลิตไม่ต่อเนื่องช้ากว่ากำหนด ส่วนการเปิดสัมปทานหรือจัดการแหล่งใหม่ตามรอบ 21 ก็ เปิดไม่ได้มีการแก้ไขกฏหมายล่าช้า 


ขณะที่การรับก๊าซฯ จากแหล่งเมียนมาร์ก็มีปัญหาด้านเทคนิคแหล่งก๊าซเยตากุนลดต่ำกว่าแผน ดังนั้น การพึ่งพาก็ต้องไปนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว หรือแอลเอ็นจีเพิ่มขึ้น โดยประเมินว่าปี 2564-2566 ก๊าซฯ จะหายไปต่ำกว่าคาดการณ์ในแผน 350-450 ล้านลูกบาศ์กฟุต/วัน เทียบเท่าแอลเอ็นจี 2 ล้านตัน/ปี

ในปี 2564-2566  เรามีสมมุติฐานว่าก๊าซฯ อ่าวไทย 2 แหล่งที่หมดอายุสัมปทานจะมีการผลิตต่ำกว่าคาดการณ์ในแผน โดยตามแผนพัฒนากำลังไฟฟ้าระยะยาว 2558-2579 (พีดีพี 2015 ) ได้มีการพิจารณาในเรื่องนี้และต้องการลดการพึ่งพาก๊าซฯ จึงวางแผนสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน เช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ แต่โครงการก็ถูกต่อต้าน ทำให้ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด…

แผนสำรองแก้ไขปัญหาก๊าซฯ ขาด

ทวารัฐ :  ดังนั้น จึงต้องมีแผนสำรอง แผนสำรองเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา โดยแผนที่รายงานต่อ กพช.วันที่ 15 พฤษภาคม 2560 เป็นแผนที่ยังไม่ตกผลึก แต่เป็นตระกร้า หรือกรอบที่วางไว้ ว่าจะดำเนินการอย่างไร ต้องศึกษาและเจรจาให้ชัดเจนว่าจะดำเนินการแผนใดได้บ้าง แผนแบ่งออกเป็น

1. แผนลดความต้องการใช้ไฟฟ้า (Demand Side) เช่น  ส่งเสริมติดตั้งแผงโซลาร์บนหลังคา (Solar Rooftop) เพื่อลดความต้องการไฟฟ้าช่วงพีคกลางวันและการใช้มาตรการ Demand Response (DR) เพื่อประหยัดไฟฟ้าตามช่วงเวลาที่ภาครัฐกำหนดเป็นการเฉพาะ ซึ่งตั้งเป้าหมายเบื้องต้นว่าอาจมีไฟฟ้า Solar Rooftop เข้าระบบ 1,000 เมกะวัตต์ 

2   ด้านการจัดหาเชื้อเพลิง/พลังงานไฟฟ้า (Supply Side) 

-จัดหาก๊าซธรรมชาติเพิ่มเติมจากพื้นที่พัฒนาร่วมไทย – มาเลเซีย (JDA)  ซึ่งในส่วนนี้ดูไว้ 2 แนวทาง คือ ใช้ก๊าซในส่วนของมาเลเซีย หรือซื้อก๊าซฯ จากพื้นที่อื่นของมาเลเซีย  โดยจะต้องมีการเจรจาในส่วนนี้จะนำมาใช้เพื่อสร้างโรงไฟฟ้าจะนะ 3 จังหวัดสงขลากำลังผลิต 700-1,000 เมกะวัตต์ ใช้ก๊าซฯ 100-120ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ซึ่งกรณีนี้จะช่วยตอบโจทย์ความมั่นคงไฟฟ้าในภาคใต้ที่มีความต้องการเพิ่ม แต่ไฟฟ้าไม่เพียงพอและโรงไฟฟ้าถ่านหินล่าช้า แต่ทั้งนี้ก็ต้องวิเคราะห์ถึงราคาก๊าซฯ ด้วยว่าจะมีผลต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าอย่างไร  

– การเพิ่มความสามารถในการเก็บสำรองก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เช่น การขยายโครงการ LNG Receiving Terminal แห่งที่ 1 มาบตาพุด จ.ระยอง และเร่งรัดการพัฒนาโครงการ Floating Storage and Regasification Unit (FSRU) ในพื้นที่ภาคใต้ เป็นต้น  ในส่วนนี้ดูทั้งระบบ เพราะในส่วนของสถานีแห่งที่ 1 มาบตาพุดนั้น ปตท.ได้รับอนุมัติผลการศึกษาด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) แล้วให้ก่อสร้างได้ 15 ล้านตัน/ปี ขณะที่ ปตท.ได้รับอนุมัติให้ก่อสร้างแล้ว 11.5 ล้าน ก็ต้องพิจารณาว่าเร่งได้หรือไม่อย่างไร

-การจัดหาพลังงานไฟฟ้าเพิ่มเติม เช่น รับซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน (สปป.ลาว หรือกัมพูชา) ซึ่งในส่วนการซื้อไฟฟ้าจาก สปป.ลาว ขณะนี้โครงการน้ำเทิน 1 แจ้งว่าจะเสร็จเร็วกว่าแผน 1 ปี หรือเสร็จปี 2564 จากตามสัญญาจะเข้าระบบปี 2565 ส่วนจีนก็เสนอขายไฟฟ้าให้ไทย 1,000 เมกะวัตต์ ผ่านสายส่ง สปป.ลาวและมาเลเซียก็พร้อมขายไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงถ่านหินให้ไทย ส่วนโครงการของกัมพูชา ก็มีโครงการถ่านหินเขตเศรษฐกิจพิเศษเกาะกงเสนอมา 2 ผู้ผลิตกำลังผลิต 1,800 เมกะวัตต์ และ2,400 เมกะวัตต์  แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถก่อสร้างได้ทันกับความต้องการของเรา คือ ปี 2564  หรือไม่  อย่างไรก็ตาม ไทยพร้อมเจรจา ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องค่าไฟฟ้า และสายส่งไฟฟ้าว่าจะเข้าเส้นทางใด  เช่น สุรินทร์ เป็นต้น  ส่วนเมียนมาร์ก็มีการพูดคุยหลายโครงการ เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินมะริด โรงไฟฟ้าพลังน้ำ มายตง แต่ก็ยอมรับว่าไม่มีความชัดเจน

“เราเปิดหน้าไพ่ก็เจรจาทั้งหมด สปป.ลาว กัมพูชา เมียนมาร์ มาเลซีย และจีนก็พร้อม โดยจีนจะมาจากระบบ GRID ของเค้าซึ่งเชื้อเพลิงก็คือหลากหลายของจีน ทั้งถ่านหิน นิวเคลียร์ อื่น ๆ ส่วนมาเลเซีย ก็เป็นการพุดคุย เค้าอยากพัฒนาโรงไฟฟ้าถ่านหินมาขายให้เรา หากไทยต้องการ”

-การรับซื้อไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเพิ่มเติมอีกตามนโยบาย SPP Hybrid-Firm และ VSPP-Semi Firm เพิ่มขึ้น เป็นต้น โดยประเด็นนี้จะต้องหากพิสูจน์ว่าไฮบริดเฟริม์จ่ายไฟได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งปีนี้จะทดลองเปิด 300 เมกะวัตต์ก่อน หากทำได้ก็พร้อมวางแผนระบบพลังงานหมุนเวียน เพื่อเป็นส่วนแก้ไขปัญหาในปี 2564-2566  ซึ่งต้องพิจารณาเรื่องต้นทุนด้วย 

-เจรจาตกลงราคาและปริมาณการจัดหาก๊าซธรรมชาติโครงการบงกชเหนือ โดยมีการรับประกันอัตราขั้นต่ำการผลิตในช่วงปี 2562 – 2564 เพื่อให้มีปริมาณการผลิตก๊าซธรรมชาติก่อนสิ้นอายุสัมปทานปี 2565 เพิ่มขึ้น

ทางเลือกฉุกเฉิน FSRU มาบตาพุด-ผลิตไฟฟ้าจากดีเซล

              ทวารัฐ :  แผนต่าง ๆ ที่ทำเป็นตระกร้าไว้ก็เพื่อให้มีก๊าซเพียงพอ แต่หากพบว่าแผนสร้างไม่ได้ และหากขาดแคลนจริง ๆ ก็ต้องมีแนวทางออกรองรับปัญหาฉุกเฉิน เช่น เช่า FSRU เข้าต่อท่อก๊าซฯ ที่มาบตาพุด  โดยทางเทคนิค ทำได้  แต่ก็ต้องทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) หรือ ผลกระทบด้านสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (อีเอชไอเอ ) เรื่องร่องน้ำหรือการต่อท่อในทะเล  ซึ่งกรณีหากไม่ทันการ ก็ต้องหารือรัฐบาลและ คสช.ว่าหากกฎหมายปกติทำไม่ได้ ก็มีโอกาสใช้กฎหมายพิเศษ หรือ ม.44 หรือไม่  อย่างไรก็ตาม หากจัดหาก๊าซฯ ไม่ได้จริง ๆ ก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดไฟฟ้าขาดแคลน ก็สามารถใช้น้ำมันดีเซลปั่นไฟฟ้าแทนก๊าซฯ ได้ แต่ต้องยอมรับว่าต้นทุนแพงถึง 3-5 เท่าตัว และกระทบค่าไฟฟ้าประชาชน ซึ่งไม่มีใครต้องการให้เกิดขึ้น

ประชาชนร่วมมืออะไรได้บ้าง เพื่อผ่านพ้นวิกฤติก๊าซฯ

          ทวารัฐ : ความร่วมมือของภาคประชาชนนอกจากการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาผลิตไฟฟ้าใช้ด้วยตัวเองแล้ว ก็ต้องขอความเห็นใจภาคประชาชน เพราะโครงการขนาดใหญ่มักได้รับการต่อต้าน ทำให้การดำเนินการช้ากว่าคาดการณ์ไว้ เรื่องบางเรื่องต่อต้าน 2-3 ปีก่อนหน้านี้ แต่จะมีผลอีก 5-7 ปีหลัง เช่น ผลของวิกฤติก๊าซฯ ครั้งนี้อาจเกิดขึ้นอีก 4 ปีข้างหน้า จึงเป็นวิกฤกติ จึงอยากเรียนวิงวอน ประชาชนเรื่องพลังงานต้องร่วมมองยาว ประท้วงทำได้ แต่ก็ต้องดูเหตุและผล โครงการที่ล่าช้าทำให้วางแผนค่อนข้างยาก ทำให้ไม่แน่ใจว่าจะมีทรัพยาพลังงานมาใช้ได้เมื่อไหร่อย่างไร พลังงานเป็นเรื่องทุกคน ก็ขอความเห็นใจศึกษาแสนอแนะหาทางที่เป็นไปได้ ก็จะทำให้โครงการพัฒนาได้ เพื่อความมั่นคงของประเทศ

                                        —–ทีมข่าวเศรษฐกิจ สำนักข่าวไทย อสมท—

                                              

ดูข่าวเพิ่มเติม

Top Viewed • อ่านมากสุด

ดูทั้งหมด

ชูความสำเร็จทีมไทยแลนด์ ปิดดีลภาษีสหรัฐที่ 19%

ทำเนียบ 1 ส.ค.-โฆษกรัฐบาล เผย ปิดดีลภาษีนำเข้าสหรัฐสำเร็จที่ 19% เกาะกลุ่มระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค ชู เป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยสามารถเจรจาและบรรลุข้อตกลงเกี่ยวกับอัตราภาษีนำเข้าต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกาได้สำเร็จ โดยขณะนี้ รัฐบาลสหรัฐได้ประกาศแล้วว่าจะเรียกเก็บอัตราภาษีนำเข้าฯ จากสินค้าของไทยในอัตรา 19 % ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันนี้วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายจิรายุ กล่าวว่า อัตราภาษีดังกล่าวที่ ต่ำกว่า อัตราเดิม 36 % และเกาะอยู่อยู่ในระดับใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น สามารถรักษาการแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งได้เจรจากับสหรัฐสำเร็จแล้วก่อนหน้านี้ “การปิดดีลครั้งนี้ของรัฐบาลไทย ในระดับภาษีนำเข้าฯ ไว้ที่ 19% ถือเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จสำคัญของทีมไทยแลนด์ ในแนวทาง Win-Win เพื่อรักษาฐานการส่งออกและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว ย้ำถึงศักยภาพของประเทศไทยในเวทีการค้าโลก ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงในนโยบายการค้าระหว่างประเทศ” นายจิรายุกล่าว […]

รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราว

อุบลราชธานี 31 ก.ค. – โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี ออกหนังสือขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.) พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจผู้ได้รับบาดเจ็บจากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งให้กำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติ งานด้านการแพทย์และพยาบาล ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี นายแพทย์ มนต์ชัย วิวัฒนาสิทธิพงศ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับและรายงานความคืบหน้าการดูแลรักษาผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงการเตรียมความพร้อมด้านการรักษาพยาบาลรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่ชายแดน รพ.สรรพสิทธิประสงค์ แจ้งยกเลิกรับผู้ป่วยกัมพูชาชั่วคราวขณะที่ในวันเดียวกัน โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ ได้ออกเอกสารขอยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา และยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา ใจความในหนังสือว่า “โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ได้ให้การตรวจรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่เดินทางเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลต่อความมั่นคงของประเทศ และจากมติที่ประชุมคณะกรรมการคลินิกพิเศษนอกเวลาราชการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ มีมติดังนี้ 1.ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และจิตอาสาภาษาต่างประเทศ2.ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว3.ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ผู้ป่วยชาวกัมพูชา4.ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน ในการนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ถึงวันที่ 10 […]

รมช.มท. โฟนอินผู้ว่าฯ อุบลฯ ตอบกลางสภา ยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ

รัฐสภา 31 ก.ค.-สส.ศรีสะเกษ ภูมิใจไทย ทวงถามเงินช่วยเหลือเยียวยาจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ชี้ตั้งแต่วันแรกยังไม่ได้เงินรัฐบาลสักบาท ซัด “ผู้ว่าฯ อุบล” อ้างกลัวติดคุกไม่กล้าเบิกงบ ด้าน รมช.มหาดไทย ต่อสายโฟนอิน ผู้ว่าฯ ตอบกลางสภา ยืนยันไม่มีปัญหาเบิกจ่ายงบ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา โดยนายธนา กิจไพบูลย์ชัย สส.ศรีสะเกษ พรรคภูมิใจไทย สอบถามกรณีเหตุปะทะชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งนายกรัฐมนตรี มอบหมาย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย เป็นผู้ตอบกระทู้ แต่เนื่องจากนายภูมิธรรม ติดภารกิจจึงมอบหมายให้ น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงแทน นายธนา กล่าวว่า จากเหตุปะทะบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดน ทั้งศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึงขณะนี้ ยังไม่มีงบประมาณจากส่วนกลางลงพื้นที่แม้แต่บาทเดียว ทุกวันนี้เราอาศัยเงินบริจาคเป็นหลัก และนำงบขององค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) […]

ทูตไทยตอบโต้กัมพูชา หลังยกกรณีปัญหาชายแดนที่ยูเอ็น

นิวยอร์ก 31 ก.ค. – เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำองค์การสหประชาชาติ โต้ผู้แทนกัมพูชา ซึ่งหยิบประเด็นชายแดนไทย-กัมพูชา ขึ้นพูดผิดกาลเทศะ ผิดวาระ ในที่ประชุมสหประชาชาติ วาระสำคัญของการประชุมระดับสูงระหว่างประเทศในเวทีสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐ เมื่อวานนี้ คือการผลักดันเพื่อระงับข้อพิพาทปัญหาปาเลสไตน์โดยสันติวิธี แต่ปรากฏว่านาย เจีย แก้ว เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหประชาชาติ กลับพูดในประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องกับวาระการประชุม โดยพาดพิงถึงไทยเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นายเชิดชาย ใช้ไววิทย์ เอกอัครราชทูต ผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ จึงกล่าวตอบโต้โดยชี้แจงข้อมูลความจริงในประเด็นที่กัมพูชาละเมิดข้อตกลงหยุดยิง โดยระบุว่า เป็นที่น่าเสียดายที่มีคณะผู้แทนหยิบยกประเด็นที่ไม่เกี่ยวข้องขึ้นมาในที่ประชุม ซึ่งเป็นเวทีที่หลายฝ่ายรอคอย และมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการสนับสนุนจากประชาคมระหว่างประเทศต่อการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างเป็นธรรม ถาวร และครอบคลุม ผ่านแนวทางสันติวิธีโดยการดำเนินการตามแนวทางสองรัฐ นายเชิดชาย กล่าวในที่ประชุมว่า ประเทศไทยไม่ได้มีเจตนาจะนำเรื่องทวิภาคีเข้าสู่เวทีสำคัญดังกล่าว แต่ต้องขอชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อป้องกันความเข้าใจผิด โดยย้ำว่าเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ไทยและกัมพูชา ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน แต่หลังจากที่ข้อตกลงหยุดยิงมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 กรกฎาคม อีกฝ่ายกลับใช้อาวุธข้ามพรมแดน และบุกรุกเข้ามาในดินแดนของไทยอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างร้ายแรง ประเทศไทยจึงขอเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้านปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิงอย่างเคร่งครัด และยืนยันความมุ่งมั่นของไทยที่จะใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ในการแก้ไขปัญหา หลีกเลี่ยงการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จหรือทำให้เข้าใจผิด และให้มีส่วนร่วมด้วยเจตนาดี.-810.-813.-สำนักข่าวไทย

ข่าวแนะนำ

EOD เร่งกู้ระเบิดตกค้าง-พิสูจน์กลิ่นศพทหารกัมพูชา

สุรินทร์ 4 ส.ค. – ตลอดทั้งวัน ชุด EOD ตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ พบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด ขณะที่กลิ่นศพทหารกัมพูชา ยังไม่ส่งผลกระทบฝั่งไทย แต่ชาวบ้านในพื้นที่ยืนยันมีกลิ่นจริง ตลอดทั้งวัน ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด หรือ EOD ของตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และตำรวจภูธรพนมดงรัก รวมถึง ศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ หรือ TMAC เข้าตรวจสอบพื้นที่ตามแนวปะทะใน อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ หลังสถานการณ์ปะทะสงบลง โดยพบวัตถุระเบิดและลูกกระสุนปืนใหญ่ตกค้างรวมกว่า 140 ลูก ใน 34 จุด หัวหน้าชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดให้ข้อมูลว่า ระเบิดส่วนใหญ่ทำงานไปแล้ว เหลือเพียง 7 จุดที่ยังคงอยู่ระหว่างการเก็บกู้ แต่มีบางจุดที่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติงานได้ เนื่องจากอยู่ติดแนวชายแดน และอาจสร้างความเข้าใจผิดให้กับทหารทั้ง 2 ฝ่ายที่ยังคงตรึงกำลังอยู่ในพื้นที่ อีกทั้งสภาพพื้นที่เป็นโคลนตม ทำให้บางจุดลูกระเบิดฝังลึกมาก ทำให้การเก็บกู้ยากลำบาก จึงทำได้เพียงล้อมรั้วแสดงสัญลักษณ์ให้ทราบ เพื่อความปลอดภัยและไม่ให้ผู้คนเข้าใกล้ […]

มทภ.2 หวัง GBC ได้ข้อสรุปที่ดี ลั่นไม่ถอยกำลังทหาร

กองทัพบก 4 ส.ค. – แม่ทัพภาค 2 ลั่น ไม่ถอยกำลังทหาร หวังถก GBC ได้ข้อสรุปที่ดี แต่ยังคาดหวังอะไรไม่ได้หากสองประเทศยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกันก็จบง่าย พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปชายแดนไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ประเทศมาเลเซีย ว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่าคุยเรื่องอะไรกัน แต่ก็คาดหวังว่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี หาข้อตกลงร่วมกันให้ดีที่สุด ส่วนที่หลายฝ่ายมีความกังวลสถานการณ์ชายแดน หลังวันที่ 7 สิงหาคม จะมีความตึงเครียดนั้น พล.ท.บุญสิน กล่าวว่า ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้นำทั้งสองประเทศ จะเจอกันตรงจุดไหน หากยอมรับเงื่อนไขซึ่งกันและกัน ก็จบง่าย ซึ่งตอนนี้ยังคาดเดาอะไรไม่ได้ ว่าผลจะออกมาอย่างไร เมื่อถามว่า ประเด็นเรื่องการถอนกำลัง พล.ท.บุญสิน ยืนยันว่า “กองทัพไม่ถอย เพราะเรารุกในเขตพื้นที่อธิปไตยของเรา” สำหรับการดูแลชายแดนไทย-กัมพูชา กองทัพทั้งสองประเทศได้ปฏิบัติตามข้อตกลงการหยุดยิง ที่สองรัฐบาลได้พูดคุยกันไว้เพื่อความสงบสุขบริเวณชายแดน ซึ่งเราพยายามทำให้ดีที่สุด แต่ยอมรับว่า มีปัญหาเรื่องโดรนไม่ทราบฝ่าย ซึ่งกองทัพภาคที่ 2 ได้บูรณาการหน่วยงานทุกภาคส่วน เพื่อแก้ไขปัญหาในพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้น รวมถึงการติดตามกลุ่มบุคคลที่ทำตัวเป็นสายลับ และไส้ศึก […]

สำนักโฆษก กห. พาย้อนเหตุการณ์ยุคเขมรแดงปี 1979-1980

4 ส.ค.- เตือนความจำเขมร! สำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม โพสต์ย้อนเหตุการณ์ไทยช่วยเขมร ยุคเขมรแดง ปี 1979-1980 เปิดประตูรับคนเขมรเป็นที่พึ่งสุดท้าย-เปิดค่ายพักพิงแบบไม่ลังเล วันนี้(4 ส.ค.2568) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เพจสำนักโฆษกกระทรวงกลาโหม ได้เผยแพร่ข้อมูลการช่วยเหลือของฝ่ายไทยที่มีต่อชาวกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยข้อความระบุว่า จากคนที่หนีตายสู่คนที่หันปากกระบอกปืนกลับมา” เมื่อ ‘เขมร’ ลืมทุกอย่างที่ไทยเคยมอบให้ ปี 𝟏𝟗𝟕𝟗… ชาวกัมพูชานับแสน นับล้าน วิ่งหนีตายจากนรกบนดินที่ชื่อว่า “เขมรแดง” ข้ามพรมแดนมายังไทย ในสภาพหมดเรี่ยวแรง หิวโหย และเกือบสิ้นลมหายใจ คนไทยเปิดประตูให้เขาพักพิง ตอนนั้นประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “เพื่อนบ้าน” แต่กลายเป็น “ที่พึ่งสุดท้าย” เราส่งอาหาร เราเปิดค่ายพักพิง เราช่วยเหลือทั้งในนามรัฐบาล องค์กรพัฒนาเอกชน และแม้แต่ชาวบ้านธรรมดา ๆ ที่ยอมแบ่งข้าวเพียงคำเดียวให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชา การอพยพที่ไม่มีแผนที่เริ่มตั้งแต่ต้นปี 𝟏𝟗𝟕𝟗 จนถึงต้นยุค 𝟏𝟗𝟖𝟎𝐬 มีชาวกัมพูชาจำนวนมหาศาล บางแหล่งบอกว่ารวมกันถึง 𝟔 แสนถึง 𝟖 แสนคน อพยพอย่างไร้ทิศทางบางคนเดินเท้าเป็นร้อยกิโลเมตรจากกลางประเทศกัมพูชา หลายคนไร้เอกสาร ไม่มีอาหาร ไม่มีเป้าหมาย […]

กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศ

ก.ต่างประเทศ 4 ส.ค.-กต. จัดบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา คาดแจงข้อมูลที่บิดเบือน หลังกัมพูชาปล่อยเฟคนิวส์ต่อเนื่อง ด้าน “มาริษ” ย้ำไทยไม่ได้เริ่มก่อน ยึดแก้ปัญหาผ่านกลไกทวิภาคี เรียกร้องกัมพูชายึดหลักสันติวิธี-จริงใจ นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เป็นประธานบรรยายสรุปแก่คณะทูตและองค์การระหว่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ร่วมกับ นายปิยภักดิ์ ศรีเจริญ อธิบดีกรมเอเชียตะวันออก และ นางสาวพินทุ์สุดา ชัยนาม อธิบดีกรมองค์การระหว่างประเทศ ณ ห้องนราธิป กระทรวงการต่างประเทศ โดยคาดว่าจะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริงภายหลังจากที่ฝ่ายกัมพูชามีการให้ข้อมูลที่บิดเบือนอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ก่อนการบรรยาย นายมาริษ กล่าวเปิดโดยขอบคุณผู้ที่เข้าร่วมรับฟังการบรรยายในวันนี้ พร้อมชี้แจงถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และท่าทีของไทยต่อกรณีดังกล่าว โดยตนตั้งใจจะแบ่งการบรรยายเป็น 2 ประเด็นหลัก คือ 1. การเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งไทยขอประท้วงต่อฝ่ายกัมพูชากรณีที่ละเมิดกฎหมายมนุษยชนและใช้ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายแบบไม่เลือกเป้าและโจมตีไปที่พลเรือน รวมถึงการใช้ทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งขัดต่อหลักการของอนุสัญญาออตโตวา ในขณะที่ไทยปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัด จึงหวังเป็นอย่างยิ่งให้กัมพูชาปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอย่างจริงใจด้วยเช่นกัน ภายใต้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่ ส่วนประเด็นที่ 2 คือการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป หรือ GBC ระหว่างวันที่ 4-7 สิงหาคม […]