สธ.30 เม.ย.-สธ.เตือนเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดบีและซี เป็นภัยเงียบก่อตับแข็งและมะเร็งตับ ติดต่อง่ายทางเลือด ทางเพศสัมพันธ์ ง่ายกว่าเชื้อไวรัสเอชไอวี คาดมีคนไทยติดเชื้อแล้ว 4 ล้านคน เร่งป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดด้วยบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ให้เด็กแรกเกิดทุกรายทั้งเด็กไทยและเด็กต่างด้าวที่คลอดในประเทศ และการตรวจวินิจฉัยผู้ติดเชื้อระยะแรก และรักษาทันที ตัดวงจรการระบาด
นพ.โสภณ เมฆธน ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) กล่าวว่า ขณะนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) เป็นห่วงสถานการณ์โรคไวรัสตับอักเสบที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ให้ทุกประเทศตระหนักและร่วมควบคุมป้องกันโรค โรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ,บี,ซี,ดี,อี และจี ที่เป็นปัญหาทั่วโลกและในไทยคือชนิดบีและซี ทั้ง 2 ชนิด ติดต่อทางเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน การสัมผัสสารคัดหลั่งทางเพศสัมพันธ์ และติดต่อจากแม่สู่ลูก ซึ่งติดต่อกันง่ายกว่าเชื้อเอชไอวีเพราะเชื้อสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้นานหลายวัน ภัยเงียบหลังการติดเชื้อคือทำให้เกิดโรคตับแข็งและมะเร็งตับ คาดว่าทั่วโลกมีผู้ป่วยประมาณ 400 ล้านราย เสียชีวิต 1.4 ล้านรายต่อปี ประมาณร้อยละ 48 เสียชีวิตจากชนิดซี รองลงร้อยละ 47 เสียชีวิตจากชนิดบี อัตราการตายสูงเป็นลำดับ 7 ของสาเหตุการตายทั่วโลก ในประเทศไทยคาดว่ามีผู้ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ประมาณ 3 ล้านคน และไวรัสตับอักเสบ ซี เรื้อรัง ประมาณ 1 ล้านคน
นพ.โสภณ กล่าวต่อไปว่า ในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรค ได้ให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัด ดำเนินการดังนี้ 1.รณรงค์ให้ความรู้เรื่องโรค วิธีการป้องกันไม่ให้ป่วย 2.กำชับให้บุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยทุกคน ปฏิบัติงานด้วยความระมัดระวังตามมาตรการสากลเพื่อป้องกันการติดโรค 3.จัดบริการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ให้เด็กแรกเกิดทุกรายทั้งเด็กไทยและเด็กต่างด้าวที่คลอดในประเทศ ซึ่งอยู่ในสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อป้องกันโรคมะเร็งตับในระยะยาว สำหรับวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบชนิดอื่นๆ อยู่ระหว่างการดำเนินการต่อรองราคาเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงได้มากที่สุด 4.เร่งรัดการตรวจวินิจฉัยผู้ติดเชื้อระยะแรก เพื่อให้การรักษาได้อย่างทันท่วงที ตัดวงจรแพร่ระบาดให้ได้มากที่สุด
ด้าน นพ.เจษฏา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่ 1 ม.ค.-14 เม.ย.2560 ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคตับอักเสบจากไวรัส 3,091 ราย เสียชีวิต 1ราย เชื้อที่พบมากที่สุดคือชนิด บี พบประมาณร้อยละ 75 รองลงมาคือชนิดเอ ส่วนใหญ่เกิดอย่างเฉียบ พลันและเป็นเรื้อรัง พบผู้ป่วยได้ทุกเพศทุกวัย ผู้ป่วยโรคตับอักเสบจะมีอาการดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง คลื่นไส้อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา โรคนี้ไม่มียารักษาให้หายขาดแต่มียาที่สามารถควบคุมเชื้อไวรัส ซึ่งจะมีผู้ป่วยโรคตับอักเสบส่วนหนึ่งกลายเป็นพาหะโรค สามารถแพร่เชื้อสู่คนอื่นได้ โดยไม่มีอาการป่วย
ทั้งนี้ ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรค ดังนี้1.ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ ไม่ว่าจะกับต่างเพศหรือรักร่วมเพศ ช่วยให้ปลอดภัยจากโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกชนิด 2.ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน 3.ไม่สัก ฝังเข็มหรือเจาะ โดยใช้เข็มหรือหมึกร่วมกัน 4.ไม่ใช้แปรงสีฟันและใช้ของมีคมร่วมกัน เช่น มีดโกนหนวด มีดโกน กรรไกรตัดเล็บ
5.ยึดหลัก กินร้อน ใช้ช้อนกลาง ล้างมือ ดื่มน้ำสะอาด หรือน้ำต้มสุก รับประทานอาหารปรุงสุกด้วยความร้อน โดยเชื้อไวรัสตับอักเสบจะตายที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส 6.ล้างผักสดและผลไม้ให้สะอาดก่อนรับประทาน 7.ขอให้ถ่ายอุจจาระลงส้วม ไม่ถ่ายอุจจาระลงน้ำไม่แพร่ กระจายสิ่งแวดล้อม 8.ลดละการดื่มเครื่องแอลกอฮอล์ทุกชนิด หากประชาชนมีข้อสงสัย สอบถามสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 .-สำนักข่าวไทย